วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2565

จินตนาการจากการอ่าน ช่างเพริศแพร้วยิ่งกว่าสิ่งใด(ยอดกุนซือทะลุมิติ 6)


"ไม่เชื่อก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยค้าน"

ยอดกุนซือทะลุมิติ 6
มู่อี้-กระดิ่งหยก

ในองค์กร มีคนหลายจำพวกที่แตกต่างไปจากผู้คนปกติ
พวกหนึ่ง เห็นด้วยกับทุกเรื่องที่ผู้อื่นเสนอ
พวกหนึ่ง คัดค้านกับทุกเรื่องที่ผู้อื่นเสนอ
และพวกหนึ่ง ไม่เคยแสดงความคิดเห็นอะไรเลย

คนปกติย่อมคิดและแสดงความคิดเห็นตามเหตุและผล

พวกที่หนึ่ง ทำให้ดูเหมือนจะมีทัศนคติเชิงบวกตลอดเวลา หากแต่เป็น
พวกเลียแข้งเลียขา ลิ้นกระดาษทรายน้ำลายแลคเกอร์

พวกที่สอง ดูจะมีทัศนคติเชิงลบมากเกินไป เป็นพวกหลงตัวเอง เก่งคนเดียว คนอื่นผิดหมด

พวกที่สาม ดูสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เป็นพวกเฉื่อยชา ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ดูเหมือนไม่มีสมอง

ทั้งสามจำพวก ดูไม่มีความจริงใจ เป็นที่ระอาของผู้คนในองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเป็นผู้บังคับบัญชา 

ต้นเรื่อง

ยอดกุนซือทะลุมิติเป็นนิยายย้อนยุค แนวสืบสวนสอบสวน โดยตัวเอกของเรื่องเป็นแพทย์นิติเวชในทีมตำรวจฝ่ายอาชญากรรมในสมัยปัจจุบัน จู่ ๆ ทะลุมิติย้อนยุคกลับไปอยู่ในร่างของ เมิ่งเทียนฉู่ ในสมัยราชวงศ์หมิง เมิ่งเทียนฉู่คนเดิมเป็นคนที่ไม่เอาถ่าน ใช้ชีวิตเสเพลแต่เมิ่งเทียนฉู่คนใหม่ กลับมีความสามารถในการคลี่คลายคดีและชันสูตรพลิกศพเป็นเลิศ ต่อมาได้รับตำแหน่งกุนซือฝ่ายกฎหมายและลงทัณฑ์ ไขคดีในยุคอดีตหลายคดีโดยอาศัยความรู้นิติเวชสมัยใหม่

ยอดกุนซือทะลุมิติ แต่งโดยมู่อี้ ฉบับที่  6 แปลโดยกระดิ่งหยก 

Quote ที่น่าสนใจเพิ่มเติมจากหนังสือเล่มนี้

"เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำ"

"คนเราย่อมมิอาจจะระทมทุกข์ตลอดไป"

"ที่ใดมีขุนนางย่อมมีคนฉ้อราษฎร์บังหลวง"

"ทว่าบางครั้งก็จำต้องแสร้งโง่งมต่อหน้านายบ้าง อีกฝ่ายจะได้กระหยิ่มใจในความสำเร็จ
"



จินตนาการจากการอ่าน ช่างเพริศแพร้วยิ่งกว่าสิ่งใด





ไม่มีความคิดเห็น: