บทความนี้เริ่มต้นด้วยหมายเหตุ แล้วค่อยเพิ่มเติมข้อท้าย ๆ ก่อน เพราะเป็นบทความที่ค่อย ๆ เขียน ค่อย ๆ เผยแพร่ ค่อย ๆ อ่าน ผู้อ่านจึงอาจต้องไปเริ่มอ่านข้างล่างก่อน ไล่ขึ้นมาข้างบน
หลายคนมีข้อสงสัยมากมายกับ COVID-19 แต่ไม่กล้าตั้งคำถามถาม เพราะ กลัวจะไม่ได้คำตอบ กลัวคำตอบจะไม่ตรง หรือกลัวจะถูกสวนกลับ ด้วยข้อครหาว่าเป็นพวกไม่รักชาติ
คนไทยเราจึงไม่พยายามหาเหตุผลมาตอบคำถาม ได้แต่บอกว่า ทำตาม ๆ กันไปเถอะ
ผู้เขียนจึงรวบรวมมาถามแทน ระหว่างรอผู้เชี่ยวชาญมาตอบ ก็ตอบเองไปก่อน ด้วยคำตอบที่คาดว่าจะได้รับจากผู้เชี่ยวชาญ
ข้อที่ 7
วัคซีนและภูมิคุ้มกันหมู่ (Vaccine & Herd Immunity) : ความคาดหวังของการจัดการ COVID-19 คือเราจะต้องชะลอเวลาของการระบาดไปให้นานที่สุดจนกว่าจะมีวัคซีนและให้วัคซีนเพื่อภูมิคุ้มกันบุคคลในกลุ่มเสี่ยงและมากพอจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ เราไม่อาจปล่อยให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ โดยการปล่อยให้ประชาชนติดโรคจำนวนมากเหมือนบางประเทศคิดจะทำ เราจึงต้องรอวัคซีนอย่างเดียว
คำถาม : เมื่อถึงวันที่วัคซีนผลิตได้ เราจะได้รับจัดสรรวัคซีนหรือไม่ จำนวนเท่าไร ราคาเท่าไร เราจะมีเงินมากพอที่จะซื้อวัคซีนมาฉีดให้ทุกคนหรือคนกลุ่มเสี่ยงในประเทศมั้ย กว่าจะเกิด Herd Immunity ต้องให้สัดส่วนการมีภูมิคุ้มกันจากธรรมชาติและวัคซีนเท่าไร ต้องใช้เวลานานเท่าไร นั่นคือเราต้องการ์ดไม่ตกไปนานขนาดนั้นใช่มั้ย
คำตอบ : ไม่รู้ รอไปก่อน ต่างประเทศหลายประเทศกำลังคิดผลิตวัคซีนอยู่ ตอนนี้ก็ทำตามมาตรการต่าง ๆ ไปเถอะ
ข้อที่ 6
ฐานวิถีชีวิตใหม่ (New Normal) : เนื่องจาก COVID-19 ยังอยู่กับเราไปอีกนาน ต่อไปนี้เราต้องกำหนดฐานวิถีชีวิตใหม่ เราจะอยู่แบบเดิมอีกไม่ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าสู่ New Normal
คำถาม : คนที่เรียกร้องหรือสั่งให้ทุกผู้คนไปสู่ New Normal อาจมิได้คำนึงถึงวิถีชีวิตของคนที่มีความต้องการทั้งปัจจัยแห่งการดำรงชีพ สังคม และจิตใจ (Biological need , Social need & Psychological need) เพราะตนเองยังสามารถดำรงความเป็น Old Normal ได้อยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ ตื่นมาตอนเช้ายังไปทำงานที่ทำงาน ได้พบปะผู้คนเพื่อสุมหัวกันออกมาตรการกำกับผู้อื่น ยังมีข้าวกิน ยังมีเงินเดือนใช้ ขณะที่คนถูกสั่งต้องอยู่บ้านเพื่อชาติ แล้วจะเอา New Normal อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้จริงหรือ อยู่แต่ในบ้าน (อยู่บ้านใกล้ชิดกัน ออกนอกบ้านเล่นละครระยะห่าง) เดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้ อยู่ห่างกัน 2 เมตร สวมหน้ากากตลอดเวลา ล้างมือทั้งวัน เดินห้าง เข้าธนาคาร ติดต่อธุรกรรม ต้องวัดไข้ พูดคุยกันประชุมกันเรียนหนังสือกัน ผ่าน Tele Conference (ปัญญาน่าจะเกิดจากการสุมหัวถกกัน ต้องเห็นสีหน้าสีตาท่าทางกันและกัน ปัญญาจะไม่เกิดจากการพูดคุยระยะไกลที่ต้องคอยกดปุ่มเปิดปิดเวลาพูด นั่นมัน abnormal แล้วมั้ย)
ทำไมเราไม่คิดเพียงแค่ให้ผ่านพ้นระยะระบาดรุนแรง หาวิธีการจัดการกับโรคตัวนี้ให้ได้ เหมือนโรคอื่น ๆ แล้วกลับไปสู่ Normal ที่มันจะค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนไปตามวิถีของโลก
คำตอบ : ตกลงที่ถามมานั่นเป็นคำถามหรือคำตอบ ก็เขาพูดกันทั้งโลก ว่าต้อง New Normal เราก็ New Normal กับเขาไปเถอะ...น่า
ข้อที่ 5
ห้ามการเดินทางระหว่างจังหวัด ในกรณีที่เรามีความชัดเจนว่าที่ใดเป็นแหล่งระบาดของโรค การห้ามมิให้คนในพื้นที่ระบาดเดินทางไปแพร่เชื้อที่อื่น หรือไม่ให้คนที่มาจากแหล่งระบาดเข้าพื้นที่ปลอดโรคก็จะสามารถป้องการการระบาดของโรคได้
คำถาม : แล้วจู่ ๆ แต่ละจังหวัดห้ามคนต่างจังหวัดเข้าจังหวัดตนเองเพื่ออะไร ในเมื่อจังหวัดอื่น ๆ ก็ไม่มีที่ไหนเป็นแหล่งระบาดของโรค ห้ามคนเดินทางไปมาหาสู่กัน โดยไม่แยกแยะ คนที่มีความจำเป็นจริงก็เดือดร้อน ถ้าเข้าจังหวัดอื่นต้องไปกักตัว 14 วัน ห้ามกลับบ้าน ต้องไปนอนโรงแรม เพราะไม่งั้นคนที่บ้านทุกคนต้องโดนกักตัวด้วย ห้ามแบบนี้ ปิดแบบนี้ เราจะเปิดไม่ได้เลย เพราะเราห้ามคนนอกจังหวัดทุกคน แถมมีบางจังหวัดห้ามเดินทางระหว่างอำเภอเข้าไปอีก โรคนี้มันจะอยู่กับเราไปอีกนาน เราไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้แล้วหรือไง
คำตอบ : มันก็ปลอดภัยดีนะ แต่ละจังหวัดอยากได้เลข 0 เอาน่าทน ๆ ไปเถอะ ไม่เห็นเหรอ คนทั่วโลกเขาชมว่าเราป้องกันโรคได้ดี
ข้อที่ 4
การวัดไข้ อาการสำคัญของโรค COVID-19 คือ ไข้ ไอ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อย หายใจลำบาก ไข้เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุดถึง 88% ในกรณีที่ต้องการ screen ในกลุ่มเสี่ยงจำนวนมากจึงอาศัยการวัดไข้เพื่อค้นหาผู้สงสัยว่าจะป่วย แต่อาการไข้นี่มีสาเหตุมาจากสารพัดโรค มากถึงขนาดหาสาเหตุไม่ได้หมอต้องวินิจฉัยกันว่า FUO (Fever of unknown origin) สตรีระยะไข่ตกก็มีไข้ สามารถนำไปใช้นับวันไข่ตกเพื่อก่อกำเนิดหรือคุมกำเนิดได้
คำถาม : ทำไมต้องวัดไข้ในทุกคนทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยง ไม่ใช่กลุ่มที่สัมผัสโรค บางจังหวัดวัดไข้ประชาชนทุกคนทุกวันเพื่ออะไร วัดไข้ทุกคนที่เดินทางผ่านด่านบนถนนเพื่ออะไร วัดไข้ทุกคนที่เดินเข้าอาคาร วัดไข้ทุกคนที่เข้าห้องประชุม บางหน่วยงาน ต่างคนต่างวัดบางคนต้องผ่านหลายอาคารก็ต้องวัดทุกจุดที่ผ่าน ได้ประโยชน์อะไรจากการวัดไข้ที่ไม่มีประวัติสัมผัสโรค เห็นว่า New Normal ต่อไปจะวัดไข้ทุกคนที่ไปเดินห้าง วัดไข้ทุกคนที่เข้าธนาคาร วัดไข้ทุกคนที่ไปนั่งกินอาหารตามร้าน วัดไข้ทุกคนที่ไปตัดผม วัดไข้ทุกคนที่ไปวัด(อันนี้หมายถึงวัดที่พระอาศัยอยู่) ฯลฯ วัดทำไม
คำตอบ : จะเป็นจะตายกับวัดไข้เนี่ยเหรอ เขาให้วัดก็วัดไปเถอะ ซื้อเครื่องวัดมาแล้ว แพงนะ ใช้ให้คุ้มหน่อย
ข้อที่ 3
รักษาระยะห่าง (Physical Distancing) มีที่มาจากการไอการจามเสมหะน้ำมูกน้ำลายอาจฟุ้งกระจายได้ไกล 1-1.5 เมตร เพื่อความปลอดภัย ถ้าเราอยู่ห่างคนอื่น 2 เมตร เขาไอจามเชื้อโรคก็จะกระเด็นกระดอนไม่ถึงเรา
คำถาม : อยู่ห่างกัน 2 เมตรนี่หมายถึงไม่สวม mask ใช่มั้ย หากสวม mask แล้วยังต้องห่าง 2 เมตรหรือไม่ สวม mask แล้วต้องห่างกันเท่าไร หากต้องห่าง 2 เมตรเหมือนเดิมแล้วจะสวม mask ไปทำไม หากมั่นใจว่าคนในครอบครัวไม่ติดโรคอยู่ในบ้านเดียวกันต้องอยู่ห่างกัน 2 เมตรมั้ย สวม mask แล้วจะขึ้นรถขึ้นเครื่องบินต้องนั่งห่าง 2 เมตรมั้ย มีรถคันเดียวจะไปไหนมาไหนกันสองคนนั่งอย่างไร นั่งในห้องประชุม เมื่อสวม mask แล้วต้องห่าง 2 เมตรมั้ย เดินเฉียดกันติดโรคมั้ย โรคมันติดต่อทางผิวหนังหรือไม่
คำตอบ : ในทางหลักการก็เมื่อสวม mask แล้ว ก็ไม่น่าจะต้องห่างกันถึง 2 เมตร นั่นสิ...จะต้องห่างกันเท่าไร เอาว่าห่างคนที่บ้านอย่าไปชิดคนอื่นละกัน แต่ก็ห่าง ๆ กันไปเถอะ เขาสั่งให้ห่าง
ข้อที่ 2
การล้างมือบ่อย ๆ ก็เพื่อทำลายเชื้อโรคที่ติดมือมาจากการที่เราไปจับโน่นนี่ที่อาจมีเชื้อโรคติดอยู่ แล้วเผลอเอาเข้าปากจมูกตัวเอง ให้ล้างบ่อย ๆ เพราะเราจะไปจับโน่นนี่นั่นมาโดยไม่รู้ตัวได้บ่อย
คำถาม : แล้วต้องล้างบ่อยแค่ไหน นั่งทำงานอยู่คนเดียวต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย นั่งประชุมอยู่ต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย เห็นผู้บริหารประชุมอยู่ก็ควักเจลขึ้นมาล้างมือบ่อย ๆ อยู่บ้านคนเดียวต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย อยู่ในครอบครัวที่มั่นใจว่าไม่ได้ติดเชื้อมาจากไหนต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย ถ้ามือเราไม่ได้ไปสัมผัสอะไรหลังล้างมือสะอาดแล้วยังต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย
คำตอบ : ในทางหลักการก็ไม่ต้องล้างบ่อยขนาดนั้น ควรล้างหลังไปสัมผัส แต่ว่าอยากล้างก็ล้างไปเถอะ....
การล้างมือบ่อย ๆ ก็เพื่อทำลายเชื้อโรคที่ติดมือมาจากการที่เราไปจับโน่นนี่ที่อาจมีเชื้อโรคติดอยู่ แล้วเผลอเอาเข้าปากจมูกตัวเอง ให้ล้างบ่อย ๆ เพราะเราจะไปจับโน่นนี่นั่นมาโดยไม่รู้ตัวได้บ่อย
คำถาม : แล้วต้องล้างบ่อยแค่ไหน นั่งทำงานอยู่คนเดียวต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย นั่งประชุมอยู่ต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย เห็นผู้บริหารประชุมอยู่ก็ควักเจลขึ้นมาล้างมือบ่อย ๆ อยู่บ้านคนเดียวต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย อยู่ในครอบครัวที่มั่นใจว่าไม่ได้ติดเชื้อมาจากไหนต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย ถ้ามือเราไม่ได้ไปสัมผัสอะไรหลังล้างมือสะอาดแล้วยังต้องล้างบ่อย ๆ มั้ย
คำตอบ : ในทางหลักการก็ไม่ต้องล้างบ่อยขนาดนั้น ควรล้างหลังไปสัมผัส แต่ว่าอยากล้างก็ล้างไปเถอะ....
ข้อที่ 1
การสวม mask ก็พอเข้าใจเหตุผลอยู่ว่า เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าปากเข้าจมูก อาจมาทาง droplet ที่มีคนไอจามฟุ้งมา หรือมาทางมือเราเองที่จับโน่นจับนี่ไปทั่วแล้วชอบเผลอมาจับปากจับจมูกตัวเอง
การสวม mask ก็พอเข้าใจเหตุผลอยู่ว่า เพื่อป้องกันเชื้อโรคเข้าปากเข้าจมูก อาจมาทาง droplet ที่มีคนไอจามฟุ้งมา หรือมาทางมือเราเองที่จับโน่นจับนี่ไปทั่วแล้วชอบเผลอมาจับปากจับจมูกตัวเอง
คำถาม : ต้องสวมตลอดเวลาหรือไม่ อยู่ในบ้านคนเดียวต้องสวมมั้ย นั่งทำงานในห้องคนเดียวต้องสวมมั้ย อยู่กับภรรยาสองคน เอ๊ะ ไม่ใช่สิต้อง อยู่กันสองคนกับภรรยาต้องสวมมั้ย อยู่กันในครอบครัวต้องสวมมั้ย หากสามารถยืนยันได้ว่าทุกคนป้องกันเมื่อไปนอกบ้านมาอย่างดี หรือไม่ได้ไปไหนมาไหนนอกบ้านเลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น