ผู้เขียนได้รับคำสั่งให้มาปฏิบัติราชการที่จังหวัดอุทัยธานี เดินทางมาเมื่อวันศุกร์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๓ ได้รับการต้อนรับจาก คนอุทัย ด้วยความอบอุ่น(จนถึงอุ่นมาก เพราะวันที่เดินทางมาถึง อากาศร้อนมากจริงๆ)
หลังจากนั้นไม่นาน ได้รับข้อความจากเจ้าหน้าที่ฝากมาถึงว่า
มาอยู่อุทัยไม่ต้องอุทธรณ์ ค่ำแล้วก็นอนที่เมืองอุทัย
ฟังแล้วก็ให้สงสัยใน ความหมาย ถาม อากู๋ แล้ว ก็ยืนยันในหลายที่หลายทางว่าเป็น คำกล่าวของคนอุทัยธานีจริง เปิด พจนานุกรมแล้วยิ่งสับสนไปกันใหญ่ เข้าใจว่าน่าจะมาจากคำว่า มาอยู่อุทัยไม่ต้อง อนาทร คือ ไม่ต้องเป็นทุกข์เป็นร้อน
ด้วยความรู้สึกเช่นนี้ คือ เมื่ออยู่อุทัยก็ไม่รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจ รู้สึกเหมือนเป็นบ้านหลังหนึ่ง แม้จะยังไม่เข้าใจความหมายก็ยินดีที่จะ อยู่อุทัยไม่ต้องอุทธรณ์ ค่ำแล้วก็นอนที่เมืองอุทัย (แต่ก็แอบกลับไปนอนที่ พิษณุโลก บ้างนะ)
เมื่อตัดสินใจจะเขียนบล็อกเล่าเรื่องราวที่พบพา ระหว่างการทำงาน จึงขอยืนยันความ ไม่อนาทร
หมายเหตุ
ได้รับชี้แนะจาก คุณหมอปรารถนา ประสงค์ดี ข้างล่างนี้ ว่า สำนวนนี้มาจากเพลงชื่อ อุทัยวิไล (แต่ผู้เขียน search ได้ว่าชื่อ เที่ยวอุทัย ) มีเนื้อเพลงดังนี้
เที่ยวอุทัย (มา ศรีสุวรรณ เรียบเรียง)
อุทัยเป็นเมืองวิไล แม้ว่าได้ไปจะต้องมนต์ขลัง
มีมณฑปอยู่บนเขาสะแกกรัง เขาพญาพายเรือมีชื่อดัง
แถมยังมีถ้ำสวยงามนับพัน เขาตะพาบนั้นช่างงามครัน
ปฐวีนั้นเกินจำนรร ดุจเทพเสกสรรแต่งเติมไว้ไห้
ถึงอุทัยไม่ต้องอุทธรณ์ ค่ำแล้วก็นอนที่เมืองอุทัย
แม้ใครได้ดำน้ำสามผุด คงไม่หลุดไปจากอุทัย
และยังพบเนื้อเพลงทำนองเดียวกันอีก คือ เพลง อุทัยธานีศรีเมือง (คำร้อง ทำนอง สุนทราภรณ์) ความว่า ......เมื่อถึงอุทัยปลอบใจมิให้อุทธรณ์ ค่ำลงก็จงโปรดนอนพักผ่อนที่อุทัย อุทัยเลื่องลือสมญาระบือ เด่นไกล เชื้อเชิญชักชวนพักใจ ณ อุทัยทั่วกัน ภูมิใจหากใครถ้าแม้นได้มาเยี่ยมเยือนต้องติดตาซึ้งในอุราทุกคืนวัน....
[โพสต์ครั้งแรกที่ Uthaihealth Gotoknow 11 กุมภาพันธ์ 2553 21:54]
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น