ถ่ายโอน รพสต. ระบบเดิม...ต้องถ่ายทิ้ง

ได้ย้อนกลับไปอ่านบทความที่เขียนไว้เมื่อ 2 เมษายน 2553 https://buabangbai.blogspot.com/2010/04/blog-post.html ครั้งนั้นมีคนเปรียบเทียบการถ่ายโอนเสมือน อปท.เป็นชายหนุ่มพยายามขอแต่งงานกับสถานีอนามัยลูกสาวกระทรวงสาธารณสุข แล้วตกลงกันไม่ได้สักที ผู้บริหาร อปท.บางท่านขณะนั้นประกาศว่าเห็นทีจะต้องปล้ำข่มขืนกันบ้างละ จึงเสนอให้ทดลองไปอยู่ภายใต้กำกับของ อปท. แบบ อยู่ก่อนแต่ง ถึงวันนี้ พ่อแม่กระทรวงสาธารณสุขไม่รู้ตัวว่า สาวหนุ่มเขาแอบคบหากันมานาน ก็พากันหนีไปแบบพ่อแม่สาวถึงกับช็อค บ่นด่าโขมงโฉงเฉง เพราะถ่ายโอนไปที 3000 กว่าแห่ง...หากพ่อแม่ยังหงุดหงิด โกรธไม่หายสักที มัวแต่รอลูกสาวกลับใจจะจับใส่ตะกร้าล้างน้ำ ขณะที่หนุ่มสาวอยู่ดีมีสุข จะเป็นตัวอย่างให้ลูกสาวที่เหลือก็จะหนีตามหนุ่มไปอีก

เอาน่า...เลยตามเลย แต่ว่า เมื่อถ่ายโอนแล้ว ต้องเกิดสิ่งที่ดีกว่าเดิมให้ได้ คือ

1. ประชาชนต้องได้ดีขึ้น จะดีขึ้นได้ต้องมีระบบที่ดี ควรใช้โอกาสนี้ผลักดันให้ปรับระบบให้เป็นไปตาม พรบ.ระบบสุขภาพปฐมภูมิ พ.ศ.2562 ตั้งเป้าประชาชนสุขภาพดีบนพื้นฐาน ประชาชนมีภูมิรู้ทางสุขภาพ (Health Literacy) และสามารถจัดการตนเองได้ทางสุขภาพ (Self Health Management) โดยกระบวนการเวชศาสตร์ครอบครัวและทีมหมอครอบครัว

2. โรงพยาบาลระดับทุติยภูมิและตติยภูมิต้องดีขึ้น ต้องลดภาระงานลง จากระบบปฐมภูมิที่ดีขึ้น ต้องวางระบบส่งต่อเชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อให้ประชาชนสะดวก ประชาชนจะยินดีรักษาเบื้องต้นที่รพสต.

3. ตัวเจ้าหน้าที่ต้องได้ดี ผลประโยชน์ด้านตำแหน่งหน้าที่ต้องดีขึ้น ค่าตอบแทนและสวัสดิการต้องดีขึ้น

4. อปท. ดีขึ้น ได้รับความนิยม ความพึงพอใจจากประชาชน จากการดูแลประชาชนตามบทบาทภารกิจ

5. กระทรวงสาธารณสุขดีขึ้น จากภาพรวมที่สุขภาพประชาชนจะดีขึ้น อายุคาดเฉลี่ย (LE) และอายุคาดเฉลี่ยของการมีสุขภาพดี (HALE) ดีขึ้น โดยไม่ต้องลงมือทำเอง เพียงคิดงานเชิงวิชาการพัฒนาระบบสุขภาพส่งให้ท้องถิ่นปฏิบัติ กระทรวงสาธารณสุขดีขึ้นคือประเทศดีขึ้น

ทุกคนจะได้ดี ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้อง “ถ่ายทิ้ง” ระบบเก่า ๆ ที่ไม่คล่องตัวลงเสียบ้างเด้อ