วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ความลับ คำนินทา น่ารำคาญ


ความจริงคำสามคำที่นำมาตั้งชื่อเรื่องไม่สัมพันธ์กัน และไม่น่าจะเกี่ยวกัน แต่ก็มีอุปกรณ์อย่างหนึ่งทำให้เรื่องทั้งหมดมาเกี่ยวพันธ์กันได้ สิ่งนั้นก็คือ โทรศัพท์มือถือ

โทรศัพท์ประเภทไหนก็ต้องใช้มือถือทั้งนั้น แต่คนไทยก็นิยามให้ โทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Phone) เท่านั้น ที่เรียกว่า โทรศัพท์มือถือ และท้ายสุดเราเรียกมันสั้นๆว่า มือถือ


มือถือ ทำให้การสื่อสารระหว่างบุคคลเต็มไปด้วยความสะดวกสบาย รวดเร็วทันใจ ทันเหตุการณ์ ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าซึ่งกันและกัน ไม่ต้องคอยซ่อนเร้นสายตา จึงทำให้หลายคนใช้มันอย่างพร่ำเพรื่อ ใช้อย่างเกินความจำเป็น ใช้จนกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตที่ขาดไม่ได้ ผู้เขียนเคยเห็นในห้องน้ำชายบ่อยๆ ที่คนโทรศัพท์และ ฉี่ ไปพร้อมๆกัน ดูทุลักทุเล เพราะทั้งสองเรื่องต้องใช้ มือถือ เหมือนกัน


บริษัทมือถือทุกยี่ห้อในประเทศไทย เริ่มไม่กล้าโฆษณาความยาวนานของแบตเตอรี่ เพราะคนไทยเราโทรตลอดเวลาเท่าที่แบตเตอรี่ยังไม่หมด ต่อให้แบตเตอรี่ยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็ไม่สามารถทนยาวนานได้ตามโฆษณา

เมื่อใช้มือถือพูดคุย ถ้าไม่ยกมือถือมาแนบหู ก็ต้องใช้ ชุดหูฟังชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งทำให้คนเรายิ่งดูแปลกประหลาดเพิ่มไปอีกที่ดูเหมือน พูดอยู่คนเดียว และไม่ว่าเราจะคุยมือถือแบบไหน ก็ต้องใช้สมาธิกับการฟังเสียง คนเราจะเพิ่มความดังของเสียงพูด ผกผัน กับเสียงที่ได้ยิน ยิ่งฟังไม่ค่อยได้ยินก็ยิ่งส่งเสียงพูดดังขี้น อารมณ์ ก็มีส่วนช่วยให้พูดโทรศัพท์ดังขึ้น เช่น ขณะโกรธ ยิ่งโกรธก็ยิ่งพูดเสียงดัง


ฉะนั้น เมื่อคุยมือถือในห้องประชุม จึงจะยิ่งพูดดังขึ้นเรื่อยๆ เพราะเสียงรอบตัวในห้องประชุมดังอยู่แล้ว ทำให้ได้ยินเสียงจากฝ่ายตรงข้ามไม่ชัด ทั้งสมาธิอยู่ที่การฟังเสียงในมือถือไม่ได้ยินเสียงตัวเอง จึงไม่รู้ว่าตัวเองส่งเสียงดังแค่ไหน เราจะได้ยินคนคุยมือถือส่งเสียงดังแข่งกับผู้บรรยายในห้องประชุมเสมอ บางครั้งผู้บรรยายถึงกับตกใจที่จู่ๆก็มีเสียงตอบรับดังขึ้นมาว่า เออ เออ กูรู้แล้ว


นี่จึงเป็นเหตุให้ ความลับ คำนินทา หลุดมาตอนคุย มือถือ นี่แหละ
คุยกันอยู่ 2 คน แต่คนฟังเป็นร้อย

บ่อยครั้ง ผู้ร่วมฟังก็สนุก เช่น ฟังหนุ่มสาวจีบกัน ฟังคนทะเลาะกัน ฟังคนนินทากัน ที่พบบ่อยๆก็คือ โกหกกันจะๆ ฟังๆไปก็เพลินดี

แต่บ่อยครั้งก็ น่ารำคาญ

ระวังตัวกันหน่อยนะครับ


หมายเหตุ

เรื่องนี้บันทึกขึ้นขณะนั่งรถทัวร์กลับบ้าน สาวที่นั่งข้างๆคุยอยู่กับใครสักคน อธิบายเหตุผลว่าทำไมไม่นั่งเครื่องบินกลับบ้านว่า เครื่องบินมันแพงกว่ารถทัวร์หลายเท่าตัว มีเพื่อนๆเป็น หมอ ตั้งหลายคน เงินเดือนแปดหมื่นอัพ มันก็นั่งรถทัวร์ ไม่รู้มันจะงกไปถึงไหน
อ้าว !


17.52 12-10-2555

From iPad


วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

Sensory เสีย


แนวคิดนี้ได้มาจาก นายแพทย์นิพนธ์ พัฒนกิจเรือง สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเลย

ระบบการสั่งการในระบบประสาทของคนเราแบ่งเป็น
ระบบประสาทสั่งการ (Motor Nervous System)
ระบบประสาทรับรู้ (Sensory Nervous System)
ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomus Nervous System)

เมื่อระบบประสาทสั่งการเสียไป เช่น เส้นประสาทถูกตัดขาด ก็จะเกิดอาการอัมพาตขยับอวัยวะส่วนนั้นๆไม่ได้
เมื่อระบบประสาทรับรู้เสียไป เช่นคนเป็นโรคเบาหวาน ปลายประสาทรับรู้เสียไป ก็จะมีอาการชา ไม่รู้ร้อนรู้หนาว โดนไฟไหม้ยังไม่รู้ตัว นิ้วเน่า ต้องตัดนิ้วทิ้งไป

ผู้บริหารบางท่าน ระบบประสาทรับรู้เสียไปหมดแล้ว จึงไม่รู้สึกรู้สา ไม่รับรู้ ไม่รับการสะท้อนกลับจากผู้ปฏิบัติ
แต่บังเอิญ ระบบประสาทสั่งการยังดีอยู่ จึงเอาแต่สั่งๆๆ ใครจะเป็นอย่างไร ทำได้หรือไม่ได้ มีปัญหาใดหรือไม่ ก็ไม่สนใจ

หากรู้ตัวเอง ก็อาจแค่ชินชา พอแก้ไขได้ ลองหาวิตามินบำรุงปลายประสาทไปกินหน่อย เผื่อจะดีขึ้น
หาไม่เผลอๆอาจโดนระบบประสาทอัตโนมัติของลูกน้องกระตุกเข้าให้สักป้าบ



วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตกบันไดพลอยโจน


เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้เขียนเกิดอุบัติเหตุ ตกบันได ทำให้ต้องเดินเขยกไปอีกหลายวัน การเกิดอุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้เรียนรู้ 2 ประการ 

หนึ่งคือ ตกบันไดพลอยโจน เป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อก้าวพลาดแล้ว ก็รั้งไม่อยู่ต้องโจนลงไป โชคดีที่เหลือแค่ขั้นสุดท้าย

หนึ่งคือ เมื่อเกิดอุบัติเหตุ จึงจะย้อนกลับมาทบทวนสาเหตุ แล้วหาทางแก้ไข
เพราะรีบร้อนเกินไป เพราะบริเวณบันไดมืด จากไฟฟ้าสาธารณะที่เคยส่องสว่างเกิดดับลง หลอดไฟหน้าบ้านที่เสียมาแรมปีไม่ได้แก้ไข

หากไม่รีบร้อน แม้มืด ก็มีสติพอที่จะไม่ก้าวพลาด

หากไฟสว่าง แม้รีบร้อน ก็ยังมองเห็นทาง

การทำงานบริหารก็เช่นกัน บางครั้งก็เกิดอุบัติเหตุ อย่าเอาอุบัติเหตุนั้นมาขยายใหญ่โต อย่าตกบันไดพลอยโจน

เมื่อเกิดอุบัติเหตุ ควรเอามาทบทวน ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร แล้วก็ปิดจุดอ่อนเหล่านั้นเสีย มิให้กลับมาเกิดอีก อย่าเสียเวลาไปตีอกชกหัว เพราะอย่างไรก็ย้อนกลับไม่ได้แล้ว

หากวิเคราะห์ผิดพลาด ไม่มองตนเองเป็นหลัก ระวังจะเกิดอุบัติเหตุซ้ำ
หากอุบัติเหตุเกิดซ้ำในรูปแบบเดิมๆ ก็ต้องบอกอย่างศัพท์วัยรุ่นสมัยนี้ว่า
เป็นคนประเภทที่ มีหัวไว้คั่นหู เท่านั้นเอง

แต่ว่าก็ว่าเถอะ ตอนนี้ยังไม่ได้เปลี่ยนหลอดไฟที่บันไดหน้าบ้านเลย





วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ยอมรับความจริง


ความจริงก็คือ ในสังคมย่อมมี คนดี
ความจริงก็คือ ในสังคมย่อมมี คนไม่ดี

หากต้องการ ไม่ให้เหลือคนไม่ดีในสังคม ย่อมเป็นไปไม่ได้
เพราะในหมู่คนดี ก็สามารถคัดแบ่งเป็นกลุ่ม คนดีน้อย คนดีมากกว่า และ คนดีที่สุด
คนดีน้อยกว่า จะถูกเปลี่ยนเป็น คนไม่ดี

ยอมรับความจริง อยู่ร่วมกันไปแบบนี้แหละ
แบบมี คนดี กับ คนไม่ดี อยู่ด้วยกัน

ค่อยปรับแก้ คนที่เราคิดว่าไม่ดี ให้ดีน้อยหน่อย แต่อยู่กับสังคมได้
สังคมแห่งความเป็นจริง