วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่



เมื่อขุดเจอต้นตะเคียนจมน้ำจมดินอยู่

สังคมเราก็ไปกราบไหว้บูชา ขอเลขขอหวย.....ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

เมื่อ หมู หมา กา ไก่ ออกลูก ออกไข่ มีสามหัวแปดกร
สังคมเราก็ไปกราบไหว้บูชา ขอเลขขอหวย.....ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

เมื่อมีข่าวเจอ ศพเด็กที่เกิดจากการ ทำแท้ง 1000 กว่าราย
สังคมเราทำได้อย่างดี ก็เพียง ทำบุญใหญ่.....ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ผู้เขียนรู้สึก หดหู่ กับสำนวน ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
ผู้เขียนยอมรับได้กับคำว่า เป็นความเชื่อส่วนบุคคล
เพราะนั่นยังให้โอกาสให้เรา ได้ใช้สมอง ได้ใช้ความคิด ว่าเรา จะเชื่อก็ได้ จะไม่เชื่อก็ได้

แต่การปิดกั้นไม่ให้เราได้ใช้ความคิด เพราะต้องเชื่อเท่านั้น หากไม่เชื่อก็ห้ามลบหลู่

หากสังคมไทยเรายังมีคำว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ใช้แพร่หลาย ก็อย่าหมายสังคมเราจะหลุดพ้นไปจากความงมงายทั้งปวง

มองอีกด้านหนึ่ง คงเป็นความพยายามที่จะให้คนไทยเรา โง่ ไปตลอด
เพราะ คนโง่ นั้นปกครองง่ายกว่า

เด็กไทยเรามันถึง โง่ อยู่ทุกวันนี้

เอ หรือเป็นเพราะว่า

เรามันอยากโง่เอง


[โพสต์ครั้งแรกที่ From Notes on Weblog Gotoknow 22 Nov 2553 21:34]

วันอังคารที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แผ่เมตตา


เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ผู้เขียนพบปัญหาหนักหน่วงในชีวิต ความโกรธ ความแค้น ความไม่พอใจ เกิดระหว่างผู้เขียนกับผู้ร่วมงานจำนวนมาก ความทุกข์ ยิ่งทับทวี ไม่สามารถผลักออกไปจากความรู้สึก โกรธ เกลียด แค้น ได้

ผู้เขียนไม่ใช่คนทำบุญทำทานบ่อยนัก แต่เมื่อทำบุญ ก็ปฏิบัติตาม ความเชื่อ ที่ต้องกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล และ แผ่เมตตาให้ บุคคลอันเป็นที่รัก และเจ้ากรรมนายเวร

อะไรไม่ทราบ ทำให้ผู้เขียนนึกถึง การแผ่เมตตา

เมื่อนึกได้ ตั้งแต่นั้น เมื่อกรวดน้ำ และ แผ่เมตตา ผู้เขียนจะอุทิศส่วนกุศลที่ทำมาให้กับคนที่คิดว่าเป็นศัตรูก่อนเป็นคนแรก ตอนนั้นคิดว่าตนเองมีศัตรูจำนวนมาก จึงอุิทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาให้ทีละคนๆ ตามลำดับความรู้สึกโกรธเกลียด เมื่อหมดแล้วจึงเหลือบุญให้คนอันเป็นที่รักตามปกติ

ผู้เขียนพบในที่สุดว่า เมื่อทำบ่อยครั้งเข้า ผู้เขียนแผ่เมตตาให้เขาเหล่านั้นน้อยลงๆ และในที่สุดเหลือแต่คนอันเป็นที่รักเหมือนเดิม ไม่ใช่เพราะทำใจแบ่งบุญกุศลให้ไม่ได้ แต่เพราะความโกรธเกลียดหายไปจนหมดสิ้น ความเป็นศัตรูหายไปจนหมดสิ้น เมื่อพบเจอก็ไม่มีความรู้สึกโกรธเกลียดใดๆ มีแต่ความรู้สึกของการเป็นมิตร

เมื่อไม่กี่วันมานี้ คุณจำรัส นิมิตพรชัย เภสัชกรเชี่ยวชาญ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอุทัยธานี เพิ่งสึกมาจากการไปบวช 1 พรรษา กลับมารายงานตัวทำงานพร้อมด้วยหนังสือเล่มเล็กชื่อ บทสวดมนต์ บอกว่า ลายเส้นสวยดี ลองไปอ่านดู

ผู้เขียนไม่นิยมอ่านหนังสือธรรมะ แต่ก็พลิกๆดู ด้วยความเกรงใจ พบข้อเขียนของท่าน ว.วชิรเมธี จึงได้คำอธิบายที่ชัดเจนของการแผ่เมตตา
ต้องขออนุญาตคัดลอก มาแสดงไว้ ณ ที่นี้

ทำไม สวดมนต์แล้วต้องแผ่เมตตาด้วย

การแผ่เมตตา มีประโยชน์และมีความสำคัญมาก เป็นการฝึกให้เราเรียนรู้ที่จะรักตัวเอง พร้อมๆกับการรู้จักรักคนอื่นด้วย ถ้าเรารักตนเองพร้อมๆกับที่เรารักคนอื่น เราก็จะเป็นมนุษย์ที่ไม่กล้าทำร้ายใคร และโดยวิธีเช่นนี้โลกนี้ก็จะมีแต่สันติสุข เมตตาที่เราเผื่อแผ่ไปทุกวันนั้น ก็จะทำให้จิตใจของเราชุ่มเย็น ผู้ที่ได้รับกระแสแห่งเมตตาก็เบิกบานมีความสุข เช่นกัน หากโลกเรานี้เต็มไปด้วยผู้คนซึ่งมีความเมตตากรุณาเป็นเรือนใจ โลกนี้ก็จะมีแต่ความสุขสวัสดีมีชัย การเบียดเบียน มุ่งร้ายทำลายกัน การสงครามทั้งหลาย ก็จะไม่เกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นก็น้อยมาก ดังนั้น การแผ่เมตตาจึงเป็นศิลปะในการอยู่ร่วมกันในโลกอย่างสันติสุข...ว.วชิรเมธี

ผู้เขียนเห็นว่า สังคมทุกวันนี้ มีแต่การแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ฝ่ายตรงข้ามคือศัตรู

ในที่ทำงาน ก็มีฝักมีฝ่าย มีโกรธ มีเกลียด มีแค้น มีศัตรู

วันนี้มาเชิญชวนให้ แผ่เมตตา แผ่ให้คนที่เราไม่ชอบนั่นแหละ

เมื่อทำแล้ว ใครจะเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่เราเองจะมีความสุขขึ้น 


[โพสต์ครั้งแรกที่ Gotoknow Blog Office 09 พฤศจิกายน 2553 13:15]