วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เชื่อมั่น แต่..........


ผู้เขียนตั้งความคาดหวัง

อยากให้ อำเภอเข้มแข็ง

อยากให้ ตำบลเข้มแข็ง

ตำบล และ อำเภอ จึงต้องช่วยกันผนึกกำลังคิด และ แสดงความคิดเหล่านั้นให้ปรากฎ ให้ชัดเจน

ไม่อย่างนั้น ท่านจะถูก กลืนกิน จนหมดสิ้น

เพราะมีคนมากมายต้องการ ครอบงำ ความคิดคนอื่น

อยากละเมอ บอกทุกท่านว่า

จงเชื่อมั่น แต่อย่าเชื่อมัน

จงเชื่อมั่น(ในตนเอง)
แต่อย่าเชื่อมัน(ใครก็ช่างที่ไม่ใช่ตัวเรา รวมถึง มัน ที่เป็นคนละเมอด้วย)

จงเชื่อมั่น แต่อย่าเชื่อมัน

แต่อย่าให้ถึงขนาด เชื่อมั่นตนเองจน ไม่ฟังใคร (ถ้าพูดมีเหตุมีผล ก็เชื่อมันบ้างก็ได้)

หมายเหตุ

1. หัวข้อบทความนี้ ผู้เขียนได้มาจาก web site ใต้ดินแห่งหนึ่ง มีคน post ข้อความต่อเนื่องกันสรุปประเด็นที่เจ้าของกระทู้พยายามเล่าให้ฟัง ว่า จงเชื่อมั่น แต่อย่าเชื่อมัน

2. มัน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานพ.ศ.2542 เป็น สรรพนาม แปลว่า
คําใช้แทนผู้ที่เราพูดถึง สําหรับผู้ใหญ่เรียกผู้น้อย มีเด็กเป็นต้น ตามสถานะที่ควร สําหรับเรียกผู้อื่นอย่างไม่ยกย่อง และสําหรับเรียกสัตว์หรือสิ่งอื่นทั่ว ๆ ไปตามที่ควร, เป็นสรรพนามบุรุษที่ ๓



[โพสต์ครั้งแรก ที่ นอนละเมอที่หนองบัว 27-10-2009]

คอมพิวเตอร์ สู้โว้ย


ผู้เขียนรู้สึกเหมือนโดน ค้อนทุบที่หัว ทุกครั้งที่ได้รับเสียงบ่นจากเจ้าหน้าที่ว่า คอมพิวเตอร์เป็น ภาระงาน ที่หนักยิ่ง
จำเป็นต้องหา นักวิชาการคอมพิวเตอร์ มานั่งทำงานที่เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์แทนเจ้าหน้าที่

ซึ่งเมื่อซักไซร้ในรายละเอียด ก็พบว่าปัญหาของความหนักนั้น ไม่ใช่ เพื่อแก้ปัญหาเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการ การซ่อมเครื่อง หรือการลงระบบใดระบบหนึ่ง

แต่เป็นภาระหนักกับ การกรอกข้อมูล ที่ต้องปฏิบัติเป็นการประจำ
ซึ่งผู้เขียนค่อนข้างจะ รับไม่ได้
ยิ่งหลายท่านยังคงยืนยันว่ามีเจ้าหน้าที่ที่อายุมากแล้วไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์เป็น

ผู้เขียนเองก็ไม่ใช่คนรุ่นใหม่ แต่ก็ไม่ยอมเป็นคนรุ่นเก่าเด็ดขาด
คนไม่มีมือยังพยายามใช้คอมพิวเตอร์ด้วย เท้าหรือปาก
คนตาบอดยังพยายามใช้คอมพิวเตอร์ด้วยเสียงและมือสัมผัส
แล้วคนมี มือตีนครบสามสิบสอง จะยอมได้ไง

ละเมอตื่นขึ้นมายังปวดหัวอยู่เลย

สู้โว้ย

[โพสต์ครั้งแรก ที่ นอนละเมอที่หนองบัว 27-10-2009]

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

คนไทยกับเวลา

ค่านิยมเรื่องการตรงต่อเวลา เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ควรใส่ใจ

มีคำถามท้าทายว่า ทำไมคนไทยไม่ค่อยตรงต่อเวลา

และมีคนพยายามอธิบายถึงสาเหตุของการไม่ค่อยตรงต่อเวลาของคนไทยไว้มากมาย เช่น

เป็นเพราะภูมิอากาศ เมืองไทยเป็นเมืองร้อน การรีบร้อนจะยิ่งทำให้เหนื่อย เหงื่อออก หงุดหงิด จึงต้องทำอะไรช้าๆ ไม่เร่งรีบ คือทำตัวให้สบายๆ ก็เลย สายไปหน่อย

บางคนพยายามบอกว่า เป็นเพราะบรรพบุรุษสืบทอดกันมา นี่ก็โทษไปถึงพันธุกรรมเลยเชียว ซึ่งก็มีเหตุมีผล

เพราะ มีงานศึกษาว่าคนเราจะตรงต่อเวลาหรือไม่ขึ้นอยู่กับ กรุ๊ปเลือด ซึ่งผู้เขียนลองเอาไปถามหลายคนแล้ว บอกว่าแม่นยำ คือ

คนเลือดกรุ๊ป A เป็นคนที่ ตรงต่อเวลา เป็นคนประเภทเดียวที่มักจะมาก่อนเวลา
คนเลือดกรุ๊ป B เป็นคนที่ แล้วแต่อารมณ์ บางทีก็ตรงเวลา บางทีก็สาย เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้
คนเลือดกรุ๊ป O เป็นคนที่ สายแน่นอน อยู่ที่ว่าจะสายแค่ไหน ผันแปรตั้งแต่สายมากถึงมากที่สุด
คนเลือดกรุ๊ป AB เป็นคนที่ เอาแน่ไม่ได้ อาจมาตรงเวลาหรือไม่ก็ไม่มาเลย


ที่แน่นอนคือ คนเลือดกรุ๊ป O ดันมีมากที่สุดในสังคม

(มีข้อมูลจากการศึกษาในคนไทยว่ มีเลือดกรุ๊ป O ร้อยละ 37 กรุ๊ป A ร้อยละ 22 กรุ๊ป B ร้อยละ 33 และกรุ๊ป AB ร้อยละ 8
ดังนั้นเมื่อรวมพวก สายแน่นอน กับ เอาแน่เอานอนไม่ค่อยได้ จึงมีคนที่มีโอกาสไม่ตรงเวลาได้ถึง ร้อยละ 70 )

ภาษาอังกฤษ มีคำใช้ว่า in time กับ on time แปลเป็นภาษาไทยว่า ทันเวลา (in time) กับ ตรงเวลา (on time)

หากนัดประชุมเวลา 9.00 น. ท่านไปถึงที่ประชุมก่อนเวลา 9.00 น. นั่งรอเวลาเปิดประชุมพอสมควร เรียกว่า in time (ทันเวลา) แต่ถ้าไปถึงเวลา 9.00 น.พอดีเริ่มประชุม เรียกว่า on time (ตรงเวลา)

นัดหมายใดๆ หากเป็นไปได้ ท่านก็ควรจะ in time เผื่อเวลาไว้สักหน่อยก็ดีกว่า on time แล้วกลายเป็น too late (เพราะเวลาออกเสียงเป็นภาษาไทยมันจะพ้องกับ ทุเรศ)

ไม่ว่าท่านจะเลือดกรุ๊ปใด แต่ การไม่ตรงต่อเวลาทำให้เกิดผลกระทบต่อสังคมโดยรวม งานหลายงานถึงกับเสียหายไป เนื่องจาก คนส่วนมากไม่ตรงต่อเวลา

โดยสรุป การตรงต่อเวลา จึงรวมหมายความว่า

1. การไปถึงที่นัดหมายก่อนเวลาพอสมควร ไม่มากเกิน ไม่หลังเวลา
2. การส่งงานตามกำหนดเวลา
3. การกำหนดเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้อื่นสามารถตรงต่อเวลาได้(ต้องเอื้อให้คนอื่นตรงต่อเวลาได้ด้วย)
4. เลิกงานตามกำหนดเวลา
5. การควบคุมให้ทุกกิจกรรมดำเนินไปตามขั้นตอนและเวลาที่กำหนด ไม่กินเวลาคนอื่นเป็นหางว่าว

ปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้ท่านตรงเวลาหรือไม่ จึงต้องนำมาคำนวณหมด เช่น ระยะทาง ความเร็วรถ โอกาสรถติด ฯลฯ
(เคราะห์ร้ายที่ คนเลือดกรุ๊ป O และ B ไม่ใช่คนเก่งคณิตศาสตร์)











วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เบื่อยุทธศาสตร์


ผู้เขียนไม่ใช่ นักยุทธศาสตร์

แถมยังเบื่ออะไรๆที่เกี่ยวกับ ยุทธศาสตร์

ด้วยเห็นว่า นักยุทธศาสตร์ ทำอะไรไม่ค่อยแปลงสู่การปฏิบัติ

เมื่อ นักยุทธศาสตร์ วางแผนอะไรออกมา คิดอะไรออกมา มักจะ ฟังไม่รู้เรื่อง

แต่ไม่ว่าจะไม่ชอบ เบื่อ ยุทธศาสตร์ เพียงใด ก็หนี งานยุทธศาสตร์ไปไม่พ้น

จึงต้องทำใจ พยายามหาหนทางที่จะเข้าใจ เพื่อผลักดันงานที่รับผิดชอบไปสู่ความสำเร็จให้จงได้

ประเด็นยุทธศาสตร์ สาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู ในความเห็นของผู้เขียนจึงเข้าใจเอาเองว่า น่าจะเป็นเช่นต่อไปนี้

ปัญหาของจังหวัดหนองบัวลำภูมีร้อยแปดพันเก้า ปัญหาสุขภาพก็มีไม่น้อย แต่ทีมงานก็ได้พยายามวิเคราะห์ เลือก จัดลำดับความสำคัญ กำหนดเป็น ประเด็นยุทธศาสตร์ ที่จะต้องมุ่งแก้ไข พัฒนา ในปี 2553 ได้ 3 ประเด็นหลัก คือ

1. ลดอัตราป่วย/ตาย ด้วยโรคที่สำคัญของจังหวัดหนองบัวลำภู

ประกอบด้วย 4 ประเด็นยุทธศาสตร์ย่อย คือ

1.1 โรคมะเร็งท่อน้ำดีและพยาธิใบไม้ตับ
1.2 โรคเบาหวาน
1.3 ภาวะขาดสารไอโอดีน
1.4 โรคที่เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม (แก้ไขเมื่อ 06102552)

2. พัฒนาระบบบริหารจัดการและการประสานงานให้มีประสิทธิภาพ

ประกอบด้วย 3 ประเด็นยุทธศาสตร์ย่อย คือ

2.1 การบริหารแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์
2.2 การพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสาร
2.3 การเงินการคลัง

3. ความผาสุกของบุคลากร

ประกอบด้วย 3 ประเด็นยุทธศาสตร์ย่อย คือ

3.1 ด้านสิทธิประโยชน์
3.2 ด้านวิชาการ
3.3 ด้านสวัสดิการทั่วไป

แปลความว่า งานอื่นๆที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นงานประเภท ตามภารกิจ(Functional Based) ตามนโยบาย(Agenda Based) ยังคงปฏิบัติต่อไปเหมือนที่เคยทำ

แต่ปีนี้กำหนดงานสนองตอบต่อปัญหาในพื้นที่ (Area Based) ให้เข้มข้นขึ้น

และเชื่อว่า เมื่อสามารถจัดการให้ ประเด็นยุทธศาสตร์ดังกล่าวบรรลุผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพัฒนาระบบบริหารจัดการและการประสานงานให้มีประสิทธิภาพ และ ความผาสุกของบุคลากร งานอื่นๆก็จะสามารถจัดการได้เช่นกัน

แต่ละประเด็นยุทธศาสตร์ จะต้องไป กำหนด กลวิธี นำไปสู่ความสำเร็จ กำหนด ตัวชี้วัด และ แปลงไปเป็น แผนงาน/โครงการ ที่เป็นรูปธรรม

ทั้งต้องเอา แผนงาน/โครงการต่างๆนั้น ไปปฏิบัติจริงให้ได้ผลลัพธ์

คิดกันมาได้ขนาดนี้ ก็ปวดเศียร เพราะเกิดปัญหาขึ้นมาว่า ไอ้ที่ต้องไปทำต่อนะ ใครจะทำ

มีแต่ นักคิด ไม่มี นักทำ

เอาว่ะ ดีกว่าไม่ได้คิด.........