วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2541

ค่ารักษาพยาบาล ข้าราชการยุค ไอ เอ็ม เอฟ


ท่านข้าราชการ (รวมถึงสามีภรรยา บิดามารดา บุตร) ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านครับ

เป็นความจริงที่เราต้องยอมรับกันว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจจริงๆ ทั้งที่พวกเรามิได้เป็นผู้ก่อขึ้น แต่ต้องร่วมแบกรับภาระ ส่วนผู้เป็นต้นเหตุทั้งหลายยังสุขสบายดีอยู่…..คิดแล้วมันแค้นมั้ย

การเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ ได้รับการปล่อยปละละเลยกันมานาน จนกระทั่งกลายเป็นหนึ่งในปัญหาด้านค่าใช้จ่ายงบประมาณของชาติ อันนี้พวกเราร่วมกันก่อขึ้น โดยมีพวกหมอๆ(ทั้งรัฐบาลและเอกชน) เป็นผู้สนับสนุน

ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็มีมติเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 ที่ผ่านมา ให้จำกัดการเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ

หลายท่านคิดว่างานนี้คงไม่จริงจัง หรือไม่เร็วเท่าไร หลายท่านคิดว่าเอาจริงแน่ และเริ่มกักตุนยา หลายท่านสับสน ไม่แน่ใจว่าจะมีผลกระทบต่อตนหรือไม่ และหลายท่าน(โดยเฉพาะท่านที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ)รู้สึก สมน้ำหน้า

ครับ และแล้วกระทรวงการคลังก็มีหนังสือเวียน ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 แจ้งให้ทราบเป็นที่แน่นอนแล้วว่า เริ่ม

1 มีนาคม พ.ศ. 2541 นี้จริงๆ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1. ข้าราชการเบิกได้เฉพาะยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่ก็มีข้อยกเว้นกรณีคณะกรรมการแพทย์ออกหนังสือรับรองว่าจำเป็นต้องใช้ยานอกบัญชียาหลักก็สามารถเบิกได้

2. เบิกค่าธรรมเนียมค่าตรวจนอกเวลาไม่ได้ คือตรวจคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ เบิกค่ายา และค่าอื่นๆได้เหมือนตรวจในเวลาราชการ แต่เบิกค่าธรรมเนียมแพทย์ไม่ได้

3. ข้าราชการนอนรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน เบิกได้ไม่เต็มสิทธิเดิม เดิมเบิกค่าห้องพิเศษได้วันละ 600 บาท ของใหม่นี่เบิกได้ตามอายุนะครับ อายุน้อยกว่า 60 ปี เบิกได้ 600 บาทเฉพาะ 4 วันแรก 300 บาท สำหรับ 5 วันต่อมา (รวม 9 วัน) และ หากเกินกว่านั้นก็จ่ายเองหมด ส่วนท่านที่อายุตั้งแต่ 60 ปีเป็นขึ้นไป ก็เพิ่มให้อีกหน่อย คือ เบิกได้ 600 บาทเฉพาะ 6 วันแรก 300 บาทสำหรับ 7 วันต่อมา(รวม 13 วัน) และ หากเกินกว่านั้นก็จ่ายเองหมดเหมือนกัน เฉพาะค่าห้องพิเศษนะครับ นอนห้องรวมสามัญไม่มีปัญหา ส่วนค่ายาเบิกได้เหมือนข้อแรก

แต่ถ้าป่วยจากอุบัติเหตุ เบิกได้วันละ 600 บาทภายในระยะ 13 วัน เกินนั้นเบิกได้วันละ 300 บาท

ท่านที่คิดจะอาศัยเข้าๆออกๆ เพื่อหลบเลี่ยง ก็เสียใจด้วยครับ เกณฑ์กำหนดไว้ว่าถ้านอนโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ห่างกันไม่เกิน 15 วัน ให้นับเป็นครั้งเดียวกัน แน่ะรู้ทันอีก

4. รักษาโรงพยาบาลเอกชน เบิกได้เหมือนเดิม แต่เกณฑ์ค่าห้องเหมือนโรงพยาบาลรัฐบาล

อ่านจบแล้วเป็นอย่างไรครับ

ไม่ต้องกังวลนะครับ เมื่อป่วยหนักๆ เบิกค่ารักษาไม่ได้ก็จะตายไปเอง พอตายมากๆ คนเหลือน้อย เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นเอง
อย่าคิดมากนะครับ ยาคลายเครียดส่วนใหญ่เป็นยานอกบัญชียาหลักครับ



ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็น ใบปลิว เมื่อ มีนาคม 2541

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2541

JUST SAY NO (จัสต์ เซย์ โน)



ช่วงนี้มักมีข่าวคราวที่เกี่ยวกับดารานักแสดงวัยรุ่นกับยาเสพติดเสมอๆ เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่นักแสดงวัยรุ่นซึ่งเป็นแบบอย่างให้กับวัยรุ่นทั่วๆไป กลับทำตัวเหลวไหลไปได้ถึงเพียงนี้ อะไรเป็นสาเหตุของความหลงผิด
                  ชาร์ลส์ ดิกเกนส์(Charles Dickens) เคยให้นิยามคำว่า วัยรุ่น ในหนังสือเล่มหนึ่งของเขาว่า วัยรุ่นคือ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เลวที่สุดในชีวิต เป็นช่วงวัยที่ฉลาดที่สุด แต่ก็เป็นช่วงวัยที่โง่บรม เป็นยุคเวลาแห่งความเชื่อ แต่ก็เป็นยุคเวลาของความดื้อรั้น เป็นฤดูกาลแห่งความสว่าง แต่ก็เป็นฤดูกาลแห่งความมืดมิด และวัยรุ่นเป็นวัยที่มีความหวังเจิดจ้าเปรียบดังฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เป็นวัยที่หมดสิ้นหวังดังความหนาวเย็นในฤดูหนาว  
ดังนั้นแม้ว่า ดาราดังวัยรุ่นเหล่านี้ จะสามารถมีอาชีพ หารายได้เลี้ยงตน และอาจรวมถึงผู้ปกครอง แต่ก็ยังเป็นวัยรุ่น วัยที่อาจตัดสินใจผิดพลาด เมื่อพลาด ก็จะยิ่งถลำลึก ดังเช่นการเสพยาเสพติด ซึ่งเป็นอันตรายใครๆก็รู้ แต่ทำไมจึงมีคนมากมาย(ทั้งดาราและเลียนแบบดารา)ตัดสินใจลอง และติดมัน ทั้งนี้เพราะความคิดแบบวัยรุ่นนั่นเอง วัยที่ไม่ห่วงว่าอะไรจะเกิดขึ้น วัยที่คิดว่าตนฉลาด แต่ก็โง่บรม
ปัญหายาเสพติดอยู่ที่
คนผลิต
คนขาย(คนกลาง) 
และ คนเสพ
คนผลิตและคนขาย ต้องการเงินจำนวนมหาศาล เช่นยาบ้า ต้นทุนเม็ดละไม่กี่สตางค์(ขนาดคิดตอนเงินบาทลอยตัวแล้วนะ) แต่ขายเม็ดละร้อยกว่าบาท คนขายจึงพยายามหาคนเสพ คนเสพที่หลอกง่ายที่สุดคือ วัยรุ่นนี่เอง วัยรุ่นที่กลัวว่าจะไม่เหมือนเพื่อน กลัวว่าจะไม่ทันเพื่อน ทำให้หลายคนเดินเลยเพื่อนไป บางคนท้องไม่มีพ่อ บางคนทำแท้ง ตกเลือดเกือบตาย แทนที่จะเกรงกลัว กลับไปอวดเพื่อนว่าสู้ได้หรือเปล่า ก็เลยแข่งกันท้อง แข่งกันทำแท้ง แข่งกันเสพยา แข่งกันเมาเหล้า เมาเบียร์  เมาไวน์ เมาสารพัดเมา
                  มีดาราดังคนหนึ่งบอกว่า ตนไม่ได้เสพยาอี หลังจากโดนตำรวจจับได้ และตรวจปัสสาวะพบตัวยา บอกว่าเพียงแต่ดื่มเบียร์ไป 5 แก้ว โดยไม่สำนึกเลยว่า ตนยังเป็นเด็ก ไม่สมควรที่แม้กระทั่งลองจิบ อย่าว่าแต่ดื่มไปตั้ง 5 แก้ว(ผู้เขียนเองถ้าดื่ม 5 แก้วก็หัวทิ่มแล้ว)
                  เมื่อสอบถามเหตุผล ส่วนใหญ่วัยรุ่นทั้งหลายไม่ว่าจะดารา หรือไม่ดารา มักตอบว่า เพื่อนชวนลอง เกรงใจเพื่อนทั้งๆที่ตนก็รู้ว่าไม่ดี คิดว่าทีเดียวคงไม่ติด(เหมือนคิดว่าทีเดียวคงไม่ท้อง แล้วก็หน้าซีดทั้งหญิงและชาย) ทำไมวัยรุ่นทั้งหลายต้องยอมเป็นเบื้องล่างให้กับเพื่อนเหล่านั้น เพื่อนที่บางคนเป็นเอเย่นต์ขายยาเสพติดด้วยซ้ำไป ไม่ยากเลย เพียงแต่บอกกับคนที่มาชวนว่า ไม่ คำเดียว ยืนกราน คำเดียว ไม่ต้องฟังเหตุผล ไม่ต้องชี้แจงเหตุผล ไม่ต้องอ้างว่าใครสอน ใครห้าม เพราะ เพื่อนสารเลวผู้นั้นจะยกเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมจนเราหลงกลในที่สุด พูดคำเดียวว่า ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ถ้ามันยังชวนอยู่อีกก็ ย้ำชัดๆอีกครั้งว่า ไม่ไม่คบกับมึงแล้ว และไม่คบกับเพื่อนผู้นั้นเสียเลย   มันจะว่าเรา โง่ เซ่อ ไม่เป็นลูกผู้ชาย หน้าตัวเมีย ตุ้ด ก็ช่าง ไม่ต้องฟัง ไม่ คำเดียว

Just say no.


[พิมพ์ครั้งแรก ใบปลิว เมื่อ ๒๕๔๑]