วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2541

สุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ



ฟังว่ามี สุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ หลายท่านอาจจะเป็นงงเล็กๆ ว่าอะไรกัน เคยได้ยินแต่หน้าที่ 10 ประการ ที่ร้องเป็นเพลงว่า "เด็กเอ๋ย เด็กดี ต้องมีหน้าที่ สิบอย่างด้วยกัน หนึ่งนับถือศาสนา...." หรือเคยได้ยินแต่บัญญัติ 10 ประการ ที่เคยเป็นชื่อภาพยนตร์โด่งดังเมื่อสมัยก่อน แล้วสุขบัญญัติแห่งชาติที่ว่านี่คืออะไร

สุขบัญญัติ คือ ข้อกำหนดที่เด็กและเยาวชน ตลอดจนประชาชนทั่วไปควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจนเป็นนิสัย เพื่อให้มีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายและจิตใจ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเรา เคยมีพระราชดำรัสเกี่ยวกับสุขภาพไว้ตอนหนึ่งว่า "……..และเมื่อสุขภาพสมบูรณ์ดีพร้อมทั้งร่างกายและจิตใจแล้ว ย่อมมีกำลังทำประโยชน์สร้างสรรค์เศรษฐกิจและสังคมของบ้านเมืองได้เต็มที่ ทั้งไม่เป็นภาระแก่สังคมด้วย คือเป็นแต่ผู้สร้าง มิใช่ผู้ถ่วงความเจริญ…"

ผู้เขียนได้นำสุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ มาเขียนเป็นคำกลอนให้จำง่ายๆ ดังนี้ครับ

 หนึ่งดูแล ร่างกาย ให้สะอาด
สองไม่ขาด แปรงฟัน หมั่นพบหมอ
สามล้างมือ ก่อนกินหลังถ่าย ไม่มอซอ
สี่อาหาร เพียงพอ ไม่ปนปลอม
ห้าอย่า สำส่อน อย่าเสพติด
หกครอบครัว ใกล้ชิด จิตถนอม
เจ็ดอุบัติเหตุ อย่าประมาท พลาดเป็นตรอม
แปดออกกำลัง อย่าให้ผอม ไม่อ้วนเกิน
เก้าร่าเริง แจ่มใส ให้ใจคึก
สิบสร้างสำนึก ต่อสังคม ล้วนสรรเสริญ
เป็นบัญญัติ สิบประการ อย่าอ่านเพลิน
ปฏิบัติ แล้วเจริญ ทั้งกายใจ

อ่านแล้วลองปฏิบัติดูนะครับ ท่านที่สงสัยในรายละเอียดกรุณาติดตาม ใบปลิวฉบับต่อไปได้ครับ


[พิมพ์ครั้งแรก ใบปลิว เมื่อ ๒๕๔๑]



วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2541

สุขศาลา ดอท คอม



สุขศาลา.คอม suksala.com

โรงพยาบาลวังทอง บน อินเตอร์เน็ต

จากอดีต สู่ อนาคต อีกมิติหนึ่งของการสาธารณสุขไทย

โลกทั้งโลกอยู่ในมือคุณ คงเป็นคำกล่าวที่ไม่มากเกินไปในยุคโลกาภิวัตน์เช่นนี้ ใครที่ไม่รู้จัก อินเตอร์เน็ต (Internet) คงกลายเป็นบุคคลล้าสมัย เพราะการพัฒนาระบบสารสนเทศ (IT Information Technology) ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ข้อมูลต่างๆถูกวางไว้ในเครือข่ายใยแมงมุม ที่สามารถเรียกหามาดูได้จากทั่วทุกมุมโลก(แม้กระทั่งนอกโลก ถ้าท่านเดินทางไปอยู่ในอวกาศ)

โรงพยาบาลวังทอง ก็ไม่ยอมอยู่นิ่งเฉย ขณะที่กำลังพัฒนาโรงพยาบาลสู่ยุคใหม่ของการให้บริการประชาชนผู้เป็นลูกค้ารายใหญ่ของเรา โดยกระบวนการ พัฒนาระบบจัดการเพื่อคุณภาพทั่วทั้งองค์กร (TQM Total Quality Management) มาดำเนินการ เพื่อบรรลุเป้าหมาย โรงพยาบาลมาตรฐาน(Accreditation) ในปี 2543
ขณะนี้โรงพยาบาลวังทองได้เปิดเวบไซต์ของโรงพยาบาลในชื่อใหม่ที่เข้าง่ายกว่าเดิมเรียบร้อยแล้ว ในชื่อ สุขศาลา.คอม suksala.com

สุขศาลา สถานที่ที่เป็นที่พึ่งในยามเจ็บไข้ได้ป่วยของประชาชนคนไทยในอดีต กำลังปรากฎโฉมใหม่อีกครั้งในยุคอินเตอร์เน็ต เพื่อเป็นที่พึ่งสำหรับบุคคลทั่วไปที่ต้องการความรู้ความเข้าใจในสุขภาพของตน

เวบไซต์ สุขศาลา จะประกอบด้วยเนื้อหาหลักคือ
ข้อมูลทั่วไปของอำเภอวังทอง
ข้อมูลทั่วไปของโรงพยาบาลวังทอง
web link การเชื่อมต่อ web site ที่เกี่ยวข้องกับการ สาธารณสุขทุกเรื่องทั่วโลก ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ (ยกเว้นต่างดาว)
กระดานข่าว (Board Room) คือที่ที่ท่านสามารถเข้าไปแสดงความคิดเห็นต่างๆ ได้ตลอดเวลา(ยกเว้นเวลาปิดเครื่อง)
ห้องสนทนา (Chat Room) แบ่งเป็น 2 ห้อง สำหรับท่านที่จะเข้าไปคุยแบบเอาเนื้อหาสาระ กับแบบที่ไม่ต้องคิดมาก ขอให้ได้ คุย คุย คุย คุย คุย คุย และคุย

และอนาคตคงจะเพิ่มเติมขึ้นอีก เช่น FAQ (Frequency Ask Questions) คำถามทางการแพทย์ที่พบบ่อยๆ เป็นต้น

สุขศาลา.คอม เป็นที่ที่คุณใช้เป็นทางผ่านไปยังเวบไซต์อื่นๆที่เกี่ยวกับสุขภาพ

สุขศาลา.คอม เป็นที่ที่คุณสามารถแสดงความคิดเห็นต่างๆในงานสาธารณสุข

สุขศาลา.คอม เป็นที่ที่คุณสามารถสอบถามข้อสงสัยในสุขภาพของคุณ

สุขศาลา.คอม เป็นที่ที่คุณควรกำหนดเป็น Homepage ของคุณ

ลองเข้าไปแวะชมนะครับ เพียงท่านแวะเข้าไปที่ suksala.com สุขภาพของท่านก็จะดีขึ้น
สุขภาพของท่าน ด้วยตัวของท่านเอง



http://www.suksala.com

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2541

ปราบไข้เลือดออก หน้าที่ใคร ?


เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า เมื่อถึงหน้าฝน ถ้าลูกหลานเป็นไข้ ให้นึกถึง โรคไข้เลือดออก และ ไข้เลือดออกนั้นอันตรายมาก อาจถึงตายได้

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ยังไม่มีวัคซีน ที่จะสามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ยุงลาย คือไอ้ตัวร้าย ที่นำเชื้อโรคไข้เลือดออกมาสู่คน  ยุงลาย มันกัดคนตอนกลางวัน   และ การกำจัดยุงลายเท่านั้น ที่จะสามารถป้องกันได้

แต่ไข้เลือดออก ก็ยังคงมีอยู่  หลายท่านเคยมีคนในครอบครัวป่วยเป็นไข้เลือดออก และ หลายครอบครัวถึงกับมีคนเสียชีวิตจากไข้เลือดออก เป็นความหลังอันไม่น่าจดจำ

หลายท่านไม่มีลูกหลานเล็กๆอยู่ในบ้านด้วย ก็เลยไม่กลัวไข้เลือดออก เพราะคิดว่า ไข้เลือดออกจะเป็นเฉพาะในเด็กอายุน้อยๆเท่านั้น ในที่สุดก็เลยต้องอับอายเพื่อนบ้าน เมื่อมาเป็นไข้เลือดออกเอาตอนแก่ โชคดีที่ไม่ตาย

เรามาพูดวิธีป้องกันกันดีกว่า ง่ายๆ ครับ กำจัดทั้งไข่ยุง ทั้งลูกน้ำ ( ลูกน้ำยุงนะครับ ไม่ใช่ ลูกน้ำ พาเมล่า เบาว์เด้นท์ ) และกำจัดยุงลายตัวแก่ (หมายถึงยุงลายทุกตัว ทั้งหนุ่มสาวเด็กแก่ ขอให้รอดจากลูกน้ำมาเป็นยุงก็แล้วกัน เอาหมด)

ท่านผู้อ่านที่คุ้นเคยกันอาจรู้สึกแปลกใจที่ครั้งนี้ผู้เขียนไม่ยักบอกถึงอาการไข้เลือดออกว่าถ้าเด็กไข้สูงหลายๆวัน ซึมลง กินไม่ค่อยได้ ให้นึกถึงไข้เลือดออก ไม่ยักพูดถึง ว่าเมื่อมีไข้ ห้ามใช้ยาแอสไพริน ไม่ยักพูดถึงอาการที่เด็ก ตัวเย็นลงอย่างรวดเร็ว ชีพจรเบาเร็ว กระสับกระส่าย ว่าเริ่มช็อคแล้ว ต้องรีบพาไปพบแพทย์ เพราะอาจถึงตายได้  ที่ไม่พูดถึงเพราะ เบื่อครับ บอกกันทุกปี เบื่อทั้งผู้อ่าน เบื่อทั้งผู้เขียน

ฆ่ายุงตัวแก่ ก็เอากันตั้งแต่ ตบให้ตาย ไปจนใช้ยาฉีดยาพ่น หรือทำอย่างไรก็ได้ให้มันตาย อ้อ ! ถ้ายังกำจัดมันไม่ได้ ก็ใช้วิธีป้องกัน ไม่ให้มันกัด จะใช้มุ้ง จุดยากันยุง  ทา น้ำมันตะไคร้หอม หรืออะไรก็ได้

กำจัดลูกน้ำ ก็เทน้ำทิ้ง ตักตัวลูกน้ำทิ้ง ใส่เกลือในขาตู้กับข้าว ใส่ทรายทีมีฟอส(ทรายอเบท)ในตุ่มน้ำ ทุกวิธีแหละครับ เห็นลูกน้ำที่ไหน กำจัดที่นั่น อย่ารอให้โตเป็นยุง กำจัดยากกว่า แล้วก็ไม่ต้องเลือกนะครับ บางคนเล็งแล้วเล็งอีก บอกว่าไม่ใช่ลูกน้ำยุงลาย  

กำจัดไข่ยุง ก็ไม่ต้องไปมัวเสียเวลาหาว่าไข่มันอยู่ตรงไหน ทำแบบเดียวกับกำจัดลูกน้ำนั่นแหละ คืออย่ามีที่ให้ยุงลงไปไข่   ยุงลายมันชอบไข่ในน้ำใสๆ  น้ำนิ่งๆ   เททิ้งได้ ก็เท  เทไม่ได้ก็ปิดฝา หรือใส่ทรายทีมีฟอส(ทรายอเบท)

ทรายทีมีฟอส หรือ ทรายอเบท นี่พิสูจน์แล้วว่าไม่มีอันตราย หลักการคือใส่น้ำให้เต็มตุ่ม ใส่ทรายลงไปตามจำนวน สารเคมีก็จะละลายในน้ำ สารเคมีจะไปเคลือบข้างตุ่ม ไม่ต้องเติมทรายทีมีฟอสบ่อยๆ ใช้ได้นาน 3 เดือน

ที่พูดมาทั้งหมดนั้น ใครจะทำ

อ้าว !  ทำไมถามอย่างนี้ละครับ
หลายท่านบอกว่า ก็หน้าที่หมอนั่นแหละ ถ้าหมอไม่ปราบยุง ลูกฉันโดนยุงกัด ป่วยเป็นไข้เลือดออก หมอก็เดือดร้อนต้องรักษาลูกฉัน ถ้าลูกฉันช็อค หมอก็อดหลับอดนอนเฝ้าลูกฉันทั้งคืน และถ้าบังเอิญลูกฉันตายไป ฉันก็จะร้องเรียนหมอ….เออ เอากะแม่สิ

ลองค่อยๆคิดดูใหม่นะครับว่า หน้าที่ใคร ?

หน้าที่ ผู้ว่าฯ นายอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. เทศบาล ครู นักเรียน หมอ อสม. ครอบครัว หรือหน้าที่ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง………….
นึกออกแล้ว ค่อยลุกไปทำซะดีๆ…...ก็ทุกคนนั่นแหละครับ


[พิมพ์ครั้งแรก ใบปลิว เมื่อ ๐๖-๐๗-๒๕๔๑]


วันจันทร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2541

ค่ารักษาพยาบาล ข้าราชการยุค ไอ เอ็ม เอฟ (ใหม่)


ท่านข้าราชการ (รวมถึงสามีภรรยา บิดามารดา บุตร) ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านครับ ตามที่ได้เรียนแจ้งท่านใน ใบปลิว หมายเลข 5 ถึงการเปลี่ยนแปลงการเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการนั้น บัดนี้ได้มีระเบียบปฏิบัติใหม่ เพื่อความสะดวกและชัดเจน จึงขอเรียนชี้แจงใหม่ดังนี้

ครับ ตามที่กระทรวงการคลังก็มีหนังสือเวียน ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 แจ้งให้ทราบถึงแนวทาง ปฏิบัติ 4 ประการนั้น

IMF เดิม

1. ข้าราชการเบิกได้เฉพาะยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ
2. เบิกค่าธรรมเนียมค่าตรวจนอกเวลาไม่ได้
3. ข้าราชการนอนรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน เบิกได้ตามอายุ คือ อายุน้อยกว่า 60 ปี เบิกได้ 600 บาท เฉพาะ 4 วันแรก 300 บาท สำหรับ 5 วันต่อมา (รวม 9 วัน) และ หากเกินกว่านั้นก็จ่ายเองหมด ส่วนท่านที่อายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เบิกได้ 600 บาทเฉพาะ 6 วันแรก 300 บาท สำหรับ 7 วันต่อมา(รวม 13 วัน) และ หากเกินกว่านั้นต้องจ่ายเองหมด
แต่ถ้าป่วยจากอุบัติเหตุ เบิกได้วันละ 600 บาทภายในระยะ 13 วัน เกินนั้นเบิกได้วันละ 300 บาท
และ ถ้านอนโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ห่างกันไม่เกิน 15 วัน ให้นับเป็นครั้งเดียวกัน
4. รักษาโรงพยาบาลเอกชน เบิกได้เหมือนเดิม แต่เกณฑ์ค่าห้องเหมือนโรงพยาบาลรัฐบาล
เพื่อให้เกิดความเหมาะสม ไม่ยุ่งยากในการนับวัน กระทรวงการคลังได้มีหนังสือเวียน ลงวันที่ 22 พฤษภาคม 2541 กำหนดหลักเกณฑ์ใหม่คือ

IMF ใหม่

ยกเลิก ไอ เอ็ม เอฟ เดิม ข้อ 3 และข้อ 4 และให้ใช้หลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

1.ค่าเตียงสามัญและค่าอาหาร ให้เบิกได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินวันละ 200 บาท ไม่จำกัดจำนวนวันนั่นคือถ้าท่านจะนอนรักษาเตียงธรรมดา (ก็เตียงห้องรวมนั่นแหละครับ) สามารถเบิกได้ตลอด
2.ค่าห้องพิเศษ เบิกได้ไม่เกินวันละ 600 บาท แต่ ไม่เกิน 13 วัน (ถ้าจำเป็นต้องนอนเกิน 13 วัน ต้องให้คณะกรรมการแพทย์ที่โรงพยาบาลออกหนังสือรับรองให้)
เพราะฉะนั้น เวลาจะนอนโรงพยาบาล ก็ไม่ต้องคำนวณอายุกันอีกแล้วนะครับ

ทั้งนี้เริ่มใช้วันที่ 1 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไป

และสำหรับท่านที่ยัง งงๆ อยู่เกี่ยวกับ ยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ นั้น ไม่ต้องกังวลนะครับ ครม.ได้มีมติเห็นชอบตั้งแต่ วันที่ 31 มีนาคม 2541 แล้วว่า ให้ถือว่า บัญชียาที่สถานพยาบาลกำหนด เป็นรายการยาที่ข้าราชการสามารถเบิกได้
อาจจะผ่อนคลายขึ้นนะครับ ถ้าป่วยจริงก็รักษาตัวเถอะครับ อย่ามัวแต่แค้นผู้เป็นต้นเหตุทั้งหลายเลยครับ พวกเขาเหล่านั้นยังสุขสบายดีอยู่…..ฮึ่มม์ม์



ตีพิมพ์เป็น ใบปลิว ครั้งแรกเมื่อ มิถุนายน 2541

วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2541

เวียกร้า(Viagra) ดีจริงหรือ


ข่าวเกี่ยวกับวงการยาที่ดังทั่วโลก ในช่วงนี้คงไม่มีอะไรเกิน ยาที่มีชื่อว่า เวียกร้า(Viagra) ยาที่บริษัทผู้ผลิตอ้างว่าสามารถช่วยให้ชายที่หมดสมรรถภาพทางเพศทางกาย แต่ใจยังมีไฟอยู่ สามารถปึ๋งปั๋งขึ้นมาได้

หลายท่านหวังอยู่ในใจลึกๆ(มานานแล้ว)ว่า จะมียาอะไรจะมาช่วยชุบชีวิต ให้มีชีวา ขึ้นมาได้ ก็แอบสมหวังในใจ และกำลังหาข้อมูลต่อว่าจะหาซื้อยาดังกล่าวนี้ได้จากที่ใด ก่อนที่คิดจะซื้อหามาใช้ คงต้องทำความรู้จักกับยานี้สักนิดนะครับ

เวียกร้า(Viagra) เป็นชื่อการค้าของยา ซิลเดนาฟิล(Sildenafil) ผลิตโดยบริษัทไฟเซอร์(Pfizer) มีสรรพคุณ ใช้รักษาชาย(ย้ำ เฉพาะผู้ชายเท่านั้น)ที่มีปัญหาสมรรถภาพทางเพศ อวัยวะเพศไม่แข็งตัว โดยออกฤทธิ์ที่อวัยวะเพศ ให้มีการเพิ่มกระแสเลือดไหลเวียน เกิดเลือดคั่งในอวัยวะเพศ วิธีใช้ ใช้กิน วันละ 1 ครั้ง 1 ชั่วโมงก่อนการร่วมเพศ ห้ามกินติดต่อกันเกิน 1 วัน

ราคาหรือครับ คาดว่าราคาขายในประเทศไทยจะเท่าๆกับในอเมริกา คือเม็ดละประมาณ 400 บาท(ทราบมาว่าในตลาดมืดขณะนี้เม็ดละประมาณ 1200 บาท)

ซื้อได้ที่ไหน ขณะนี้ อย.(สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา) ได้ให้ใบอนุญาต ให้จำหน่ายในประเทศไทยได้แล้ว โดยมีข้อแม้ว่า จะต้องจำหน่ายในโรงพยาบาลเท่านั้น และการจ่ายจะต้องมีใบสั่งแพทย์ จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 4 สาขา เท่านั้น ได้แก่ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคทางเดินปัสสาวะ และ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคต่อมไร้ท่อ ก็ต้องตามหากันหน่อย เพราะทั้งประเทศไทยเรามีแพทย์ทั้ง 4 สาขานี้รวมกันเพียง 726 คนเท่านั้น

ยานี้มีผลข้างเคียงหรือไม่ อ๋อ มีแน่นอนครับ ผลข้างเคียงที่พบได้แก่ ปวดศรีษะ ปวดท้อง ตามัวมองไม่ชัด และอื่นๆ แต่ที่สำคัญคือ มีรายงานว่า มีผู้เสียชีวิต(ตายครับ) จากการใช้ยานี้ไปแล้ว 16 ราย

ข้อห้ามใช้ที่สำคัญยิ่งได้แก่ ผู้ป่วยโรคหัวใจที่ต้องใช้ยากลุ่มไนเตรต(nitrate) ควบคุมอาการอยู่ อ้อ….คนที่เป็นโรคหัวใจมากกว่าร้อยละ 50 กินยาประเภทนี้อยู่นะครับ นอกจากนั้นยังมียาบางประเภทที่มีผลต่อการออกฤทธิ์ของเวียกร้า ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้

ที่สำคัญที่สุด เวียกร้า ไม่ใช่ยาปลุกเซ็กส์ ไม่ใช่ยาที่กระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศ เป็นยาที่คุณต้องมีอารมณ์ก่อนมันจึงจะออกฤทธิ์นะครับ (เพราะฉะนั้นคุณสุภาพสตรีที่คิดว่าจะซื้อไปให้นกเขาที่บ้านรับประทานนั้น สู้เอาเงินไปลดหุ่นพะโล้ให้กลับมาดูเซ็กซี่ จะดีกว่าครับ)

อาการไม่สู้นั้นเกิดจากหลายสาเหตุ ที่พบมากเกิดจากใจ คือสภาวะที่ไม่มีความมั่นใจ และเครียด สาเหตุเหล่านี้เวียกร้าไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก ต้องแก้ให้ถูกจุด

เวียกร้าไม่ใช่ยาที่ทำให้ทนทานเป็นแรด หรือสุลต่าน นะครับ แม้ว่ามันจะออกฤทธิ์ได้ถึง 4 ชั่วโมง ถ้าท่านใช้การได้อยู่แล้วอยู่แล้ว เวียกร้าไม่มีประโยชน์อะไรเลย

เวียกร้า ไม่มีประโยชน์ในสตรี และเด็ก

เมื่อสงสัยควรปรึกษาแพทย์ก่อน อย่าหาซื้อยามากินเอง ท่านอาจเป็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งได้ …แล้วจะหาว่าไม่เตือน



พิมพ์ครั้งแรกเป็น ใบปลิว เมื่อ 2541

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2541

ค่ารักษาพยาบาล ข้าราชการยุค ไอ เอ็ม เอฟ


ท่านข้าราชการ (รวมถึงสามีภรรยา บิดามารดา บุตร) ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านครับ

เป็นความจริงที่เราต้องยอมรับกันว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจจริงๆ ทั้งที่พวกเรามิได้เป็นผู้ก่อขึ้น แต่ต้องร่วมแบกรับภาระ ส่วนผู้เป็นต้นเหตุทั้งหลายยังสุขสบายดีอยู่…..คิดแล้วมันแค้นมั้ย

การเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ ได้รับการปล่อยปละละเลยกันมานาน จนกระทั่งกลายเป็นหนึ่งในปัญหาด้านค่าใช้จ่ายงบประมาณของชาติ อันนี้พวกเราร่วมกันก่อขึ้น โดยมีพวกหมอๆ(ทั้งรัฐบาลและเอกชน) เป็นผู้สนับสนุน

ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็มีมติเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 ที่ผ่านมา ให้จำกัดการเบิกค่ารักษาพยาบาลของข้าราชการ

หลายท่านคิดว่างานนี้คงไม่จริงจัง หรือไม่เร็วเท่าไร หลายท่านคิดว่าเอาจริงแน่ และเริ่มกักตุนยา หลายท่านสับสน ไม่แน่ใจว่าจะมีผลกระทบต่อตนหรือไม่ และหลายท่าน(โดยเฉพาะท่านที่ไม่ได้เป็นข้าราชการ)รู้สึก สมน้ำหน้า

ครับ และแล้วกระทรวงการคลังก็มีหนังสือเวียน ลงวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541 แจ้งให้ทราบเป็นที่แน่นอนแล้วว่า เริ่ม

1 มีนาคม พ.ศ. 2541 นี้จริงๆ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

1. ข้าราชการเบิกได้เฉพาะยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ แต่ก็มีข้อยกเว้นกรณีคณะกรรมการแพทย์ออกหนังสือรับรองว่าจำเป็นต้องใช้ยานอกบัญชียาหลักก็สามารถเบิกได้

2. เบิกค่าธรรมเนียมค่าตรวจนอกเวลาไม่ได้ คือตรวจคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ เบิกค่ายา และค่าอื่นๆได้เหมือนตรวจในเวลาราชการ แต่เบิกค่าธรรมเนียมแพทย์ไม่ได้

3. ข้าราชการนอนรักษาตัวเป็นผู้ป่วยใน เบิกได้ไม่เต็มสิทธิเดิม เดิมเบิกค่าห้องพิเศษได้วันละ 600 บาท ของใหม่นี่เบิกได้ตามอายุนะครับ อายุน้อยกว่า 60 ปี เบิกได้ 600 บาทเฉพาะ 4 วันแรก 300 บาท สำหรับ 5 วันต่อมา (รวม 9 วัน) และ หากเกินกว่านั้นก็จ่ายเองหมด ส่วนท่านที่อายุตั้งแต่ 60 ปีเป็นขึ้นไป ก็เพิ่มให้อีกหน่อย คือ เบิกได้ 600 บาทเฉพาะ 6 วันแรก 300 บาทสำหรับ 7 วันต่อมา(รวม 13 วัน) และ หากเกินกว่านั้นก็จ่ายเองหมดเหมือนกัน เฉพาะค่าห้องพิเศษนะครับ นอนห้องรวมสามัญไม่มีปัญหา ส่วนค่ายาเบิกได้เหมือนข้อแรก

แต่ถ้าป่วยจากอุบัติเหตุ เบิกได้วันละ 600 บาทภายในระยะ 13 วัน เกินนั้นเบิกได้วันละ 300 บาท

ท่านที่คิดจะอาศัยเข้าๆออกๆ เพื่อหลบเลี่ยง ก็เสียใจด้วยครับ เกณฑ์กำหนดไว้ว่าถ้านอนโรงพยาบาลแต่ละครั้ง ห่างกันไม่เกิน 15 วัน ให้นับเป็นครั้งเดียวกัน แน่ะรู้ทันอีก

4. รักษาโรงพยาบาลเอกชน เบิกได้เหมือนเดิม แต่เกณฑ์ค่าห้องเหมือนโรงพยาบาลรัฐบาล

อ่านจบแล้วเป็นอย่างไรครับ

ไม่ต้องกังวลนะครับ เมื่อป่วยหนักๆ เบิกค่ารักษาไม่ได้ก็จะตายไปเอง พอตายมากๆ คนเหลือน้อย เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นเอง
อย่าคิดมากนะครับ ยาคลายเครียดส่วนใหญ่เป็นยานอกบัญชียาหลักครับ



ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็น ใบปลิว เมื่อ มีนาคม 2541

วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2541

JUST SAY NO (จัสต์ เซย์ โน)



ช่วงนี้มักมีข่าวคราวที่เกี่ยวกับดารานักแสดงวัยรุ่นกับยาเสพติดเสมอๆ เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง ที่นักแสดงวัยรุ่นซึ่งเป็นแบบอย่างให้กับวัยรุ่นทั่วๆไป กลับทำตัวเหลวไหลไปได้ถึงเพียงนี้ อะไรเป็นสาเหตุของความหลงผิด
                  ชาร์ลส์ ดิกเกนส์(Charles Dickens) เคยให้นิยามคำว่า วัยรุ่น ในหนังสือเล่มหนึ่งของเขาว่า วัยรุ่นคือ ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิต แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่เลวที่สุดในชีวิต เป็นช่วงวัยที่ฉลาดที่สุด แต่ก็เป็นช่วงวัยที่โง่บรม เป็นยุคเวลาแห่งความเชื่อ แต่ก็เป็นยุคเวลาของความดื้อรั้น เป็นฤดูกาลแห่งความสว่าง แต่ก็เป็นฤดูกาลแห่งความมืดมิด และวัยรุ่นเป็นวัยที่มีความหวังเจิดจ้าเปรียบดังฤดูใบไม้ผลิ แต่ก็เป็นวัยที่หมดสิ้นหวังดังความหนาวเย็นในฤดูหนาว  
ดังนั้นแม้ว่า ดาราดังวัยรุ่นเหล่านี้ จะสามารถมีอาชีพ หารายได้เลี้ยงตน และอาจรวมถึงผู้ปกครอง แต่ก็ยังเป็นวัยรุ่น วัยที่อาจตัดสินใจผิดพลาด เมื่อพลาด ก็จะยิ่งถลำลึก ดังเช่นการเสพยาเสพติด ซึ่งเป็นอันตรายใครๆก็รู้ แต่ทำไมจึงมีคนมากมาย(ทั้งดาราและเลียนแบบดารา)ตัดสินใจลอง และติดมัน ทั้งนี้เพราะความคิดแบบวัยรุ่นนั่นเอง วัยที่ไม่ห่วงว่าอะไรจะเกิดขึ้น วัยที่คิดว่าตนฉลาด แต่ก็โง่บรม
ปัญหายาเสพติดอยู่ที่
คนผลิต
คนขาย(คนกลาง) 
และ คนเสพ
คนผลิตและคนขาย ต้องการเงินจำนวนมหาศาล เช่นยาบ้า ต้นทุนเม็ดละไม่กี่สตางค์(ขนาดคิดตอนเงินบาทลอยตัวแล้วนะ) แต่ขายเม็ดละร้อยกว่าบาท คนขายจึงพยายามหาคนเสพ คนเสพที่หลอกง่ายที่สุดคือ วัยรุ่นนี่เอง วัยรุ่นที่กลัวว่าจะไม่เหมือนเพื่อน กลัวว่าจะไม่ทันเพื่อน ทำให้หลายคนเดินเลยเพื่อนไป บางคนท้องไม่มีพ่อ บางคนทำแท้ง ตกเลือดเกือบตาย แทนที่จะเกรงกลัว กลับไปอวดเพื่อนว่าสู้ได้หรือเปล่า ก็เลยแข่งกันท้อง แข่งกันทำแท้ง แข่งกันเสพยา แข่งกันเมาเหล้า เมาเบียร์  เมาไวน์ เมาสารพัดเมา
                  มีดาราดังคนหนึ่งบอกว่า ตนไม่ได้เสพยาอี หลังจากโดนตำรวจจับได้ และตรวจปัสสาวะพบตัวยา บอกว่าเพียงแต่ดื่มเบียร์ไป 5 แก้ว โดยไม่สำนึกเลยว่า ตนยังเป็นเด็ก ไม่สมควรที่แม้กระทั่งลองจิบ อย่าว่าแต่ดื่มไปตั้ง 5 แก้ว(ผู้เขียนเองถ้าดื่ม 5 แก้วก็หัวทิ่มแล้ว)
                  เมื่อสอบถามเหตุผล ส่วนใหญ่วัยรุ่นทั้งหลายไม่ว่าจะดารา หรือไม่ดารา มักตอบว่า เพื่อนชวนลอง เกรงใจเพื่อนทั้งๆที่ตนก็รู้ว่าไม่ดี คิดว่าทีเดียวคงไม่ติด(เหมือนคิดว่าทีเดียวคงไม่ท้อง แล้วก็หน้าซีดทั้งหญิงและชาย) ทำไมวัยรุ่นทั้งหลายต้องยอมเป็นเบื้องล่างให้กับเพื่อนเหล่านั้น เพื่อนที่บางคนเป็นเอเย่นต์ขายยาเสพติดด้วยซ้ำไป ไม่ยากเลย เพียงแต่บอกกับคนที่มาชวนว่า ไม่ คำเดียว ยืนกราน คำเดียว ไม่ต้องฟังเหตุผล ไม่ต้องชี้แจงเหตุผล ไม่ต้องอ้างว่าใครสอน ใครห้าม เพราะ เพื่อนสารเลวผู้นั้นจะยกเหตุผลมาเกลี้ยกล่อมจนเราหลงกลในที่สุด พูดคำเดียวว่า ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ไม่ ไม่ ไม่  ถ้ามันยังชวนอยู่อีกก็ ย้ำชัดๆอีกครั้งว่า ไม่ไม่คบกับมึงแล้ว และไม่คบกับเพื่อนผู้นั้นเสียเลย   มันจะว่าเรา โง่ เซ่อ ไม่เป็นลูกผู้ชาย หน้าตัวเมีย ตุ้ด ก็ช่าง ไม่ต้องฟัง ไม่ คำเดียว

Just say no.


[พิมพ์ครั้งแรก ใบปลิว เมื่อ ๒๕๔๑]

วันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2541

ไข้หวัดนก


ข่าวใหญ่อีกข่าวของฮ่องกงหลังจากการกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน ได้แก่ ไข้หวัดนก ฟังดูทีแรกก็ไม่น่าจะสนใจมากเท่าไรนัก ด้วยชื่อพาดหัวหนังสือพิมพ์ว่า ไข้หวัดนก ก็น่าจะเป็นเรื่องของนก แต่ฟังไปฟังมาทำท่าจะไม่ใช่เรื่องของนกเท่านั้น แต่กลายเป็นเรื่องใหญ่ของคน ไม่ว่าจะชื่อนก หรือแฟนจะชื่อนกหรือไม่ก็ตาม เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ฮ่องกงก็ประกาศฆ่าไก่ทิ้งทั้งเกาะฮ่องกง ทั้งที่ยังไม่ถึงเทศกาลตรุษจีน ขณะที่ค่อนข้างเป็นที่วิตกกังวลมากๆของชาวฮ่องกง ก็มีนายอะไรคนหนึ่งที่ฟิลิปปินส์ สร้างข่าวโจ๊กแถมมาว่า อยากได้ไก่ทั้งหมดที่ฮ่องกงฆ่าทิ้ง เอาไปกิน เพราะอดอยากปากแห้งมานาน นั่นเป็นข่าวในช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมา

หลายท่านสงสัยว่าไอ้ไข้หวัดนกนี่มันเป็นยังไงกัน มันเป็นในนกแล้วทำไมไปฆ่าไก่ แล้วมันจะลุกลามมาประเทศไทยเราหรือไม่ เพราะคนไทยเราก็นิยมไปเที่ยว ฮ่อง

กงกันอยู่บ่อยๆ หลายท่านก็เคยไปอย่างว่ากับน้องนก น้องไก่ ที่ฮ่องกงมาเสียด้วย ครับลองดูข้อมูลเรื่องนกๆไก่ๆรวมไปถึงเป็ดๆห่านๆ ด้วย(สัตว์ปีกประเภทนกทั้งหลาย)

ไข้หวัดใหญ่(Flu) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส หลายชนิด เคยมีการแพร่ระบาดใหญ่ชนิดข้ามทวีปมาแล้ว มีคนตายไปเป็นจำนวนไม่น้อยจากการระบาดของไข้หวัดใหญ่ที่ฟังชื่อแล้วดูเหมือนจะเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงอะไร แต่ไข้หวัดนกไม่ธรรมดา อ๊ะ อ๊ะ ไม่ธรรมดา

ไข้หวัดนก เป็นโรคที่แต่เดิมเข้าใจว่าเป็นเฉพาะในสัตว์ปีกเท่านั้น เกิดจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ เอช 5 เอ็น 1 (H5N1) ต่อมาทางการสาธารณสุขฮ่องกง พบว่าสามารถแพร่มายังคนได้ โดยมีผู้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่จากเชื้อชนิดนี้รวมสิบกว่าราย และเสียชีวิต(ก็ตายนั่นแหละครับ) ไปแล้ว 4 ราย

อาการไข้หวัดนก ก็คล้ายๆกับไข้หวัดใหญ่ธรรมดา แต่จะมีอาการรุนแรงกว่า มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศรีษะอย่างรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อทั้งตัว อ่อนเพลียมาก ไอมาก จนเจ็บหน้าอก เจ็บคอ น้ำมูกไหล คัดจมูก หายใจลำบาก อาจมีอาการของระบบทางเดินอาหารแทรก เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง บางรายอาจมีอาการแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม

ที่น่าดีใจคือ ไม่เคยมีการพบเชื้อไวรัสสายพันธุ์นี้ในประเทศไทย ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และในสัตว์ปีกบ้านเราก็ไม่เคยพบว่ามีการระบาดของไวรัสสายพันธุ์นี้ เพราะไทยเราไม่นำเข้าไก่จากจีนแดงหรือฮ่องกง ยกเว้นท่านที่นิยมน้อง หมวย ก็ระวังตัวเอาเอง(ยังไม่มีหลักฐานว่าโรคนี้ติดต่อจากคนไปคนได้)

ถ้าท่านไม่อยากเป็นผู้ป่วยไข้หวัดนกรายแรกของประเทศไทย ก็ปฏิบัติตัวง่ายๆ เหมือนการป้องกันตนเองจากไข้หวัดใหญ่ทั่วๆไป คือ รักษาร่างกายให้แข็งแรง ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ อยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้สะดวก งดการสูบบุหรี่ เสพสุราและยาเสพติด และควรรักษาสุขวิทยาส่วนบุคคล เช่น การล้างมือหลังจับต้องสัตว์ทุกชนิด เท่านี้ก็เกินพอแล้วครับ

เมื่อทราบรายละเอียดทั้งหมดอย่างนี้แล้ว ก็ไม่ต้องแตกตื่นไปกับชาวฮ่องกงนักนะครับ

สวัสดี


พิมพ์ครั้งแรกเป็น ใบปลิว เมื่อ 2541

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2541

โรคหน้าหนาว




            หน้านี้เป็น หน้าหนาว อาจจะหนาวบ้าง ไม่หนาวบ้าง แต่เราก็ยังเรียกมันว่าหน้าหนาว และในหน้าหนาวนี้ก็มีโรคประจำฤดูกาลที่อาจเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นโรคที่ป้องกันได้ แต่มักไม่ค่อยใส่ใจกัน บางท่านมักอ้างว่าตนเองมีภูมิคุ้มกันดี ไม่ป่วยง่ายๆหรอก ตายไปแยะเหมือนกันประเภทนี้  ลองมาดูโรคหน้าหนาวสัก 2-3 โรคนะครับ
            โรคไข้หลี ชื่อโรคนี้บัญญัติโดยศาตราจารย์นายแพทย์เสนอ  อินทรสุขศรี ฟังดูเหมือนเป็นโรคของหนุ่มๆที่ไปหลีสาวๆ พาลนึกไปถึงโรคทางเพศสัมพันธ์ไปโน่น แท้ที่จริงไม่ใช่หรอกครับ เป็นคำผวน ไข้หลี ก็ ขี้ไหล โรคขี้ไหลก็คือโรคท้องร่วง หรือโรคอุจจาระร่วง นั่นเอง  โรคไข้หลีนี้มีหลายประเภท ตั้งแต่ท้องเสียธรรมดาๆ ไปจนถึงอหิวาตกโรค แต่สาเหตุก็เหมือนๆกัน คือ การกินอาหารที่ไม่สะอาด หน้าหนาวนี้น้ำเริ่มน้อย ใกล้เข้าสู่ภาวะ แล้งซ้ำซาก การทำความสะอาดอาหารตลอดจนภาชนะก็ไม่ค่อยดีพอ มือไม้ไม่สะอาด ระวังนะครับ อาจเกิดอาการ ถ่ายอุจจาระซ้ำซาก โปรดระวังเป็นพิเศษในเด็กทารก และผู้สูงอายุ เพราะกลุ่มนี้ไม่ค่อยมีพลังสำรองในตัว เป็นปุ๊บอาจจะตายปั๊บ และถ้าตายมีตายหนเดียว ไม่มีตายซ้ำซาก

            โรคไข้หวัด โรคนี้เป็นโรคยอดนิยมอันดับ 2 รองจากท้องร่วง มักเป็นมากในช่วงหน้าหนาว เพราะอากาศแห้ง ไอน้ำในบรรยากาศน้อย ร่างกายไม่แข็งแรง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส เป็นเองหายเองได้ ถ้าไม่เป็นมากขึ้น แล้วลุกลามเป็นอย่างอื่นไปเสียก่อน เช่นลุกลามเป็นปอดบวม ป้องกันง่ายๆเหมือนกัน คือรักษาร่างกายให้แข็งแรง อบอุ่น(คนโสดควรจะมีคู่ซะ จะได้อบอุ่น) ออกกำลังกาย กินอาหารให้ครบ ๕ หมู่(. เนื้อนมไข่ ให้โปรตีน ๒. ข้าวแป้งน้ำตาล ให้พลังงาน ๓.ผักผลไม้ ๔. เกลือแร่วิตามิน ๕. ไขมัน)

            โรคตาแดง โรคนี้ก็มักพบบ่อยในหน้าหนาวนี้เหมือนกัน ส่วนใหญ่เป็นเชื้อไวรัส เกิดจากมือไม่สะอาด จับไปทั่ว แล้วมาป้ายตาตัวเอง ระบาดได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กนักเรียน ป้องกันก็ไม่ยาก หมั่นล้างมือให้สะอาด ไม่เอามือขยี้ตา ไม่คลุกคลีกับคนเป็นโรค เมื่อเป็นโรคควรหยุดงานหรือหยุดเรียน จะได้ไม่ไปติดต่อผู้อื่น

            โรคสุดท้าย ที่ผู้เขียนใคร่จะแนะนำให้ในหน้าหนาวนี้ ก็ได้แก่ โรคขี้เมา เมากันจังเลยครับ เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี ลดๆลงหน่อยนะครับ เมาแล้วมักเกิดอุบัติเหตุ รถชนกัน รถชนเสาไฟฟ้า ทั้งๆที่เสามันไม่ได้ทำอะไรให้ ไม่รู้จะชนกับใครก็ล้มเองก็แยะ หน้าเละ ดั้งยุบ ขาหัก แขนเดาะ มากมาย และถ้าจำเป็นต้องดื่มเหล้าจริงๆ อย่าลืมรองท้องด้วยข้าวปลาอาหารไว้ก่อน เพราะหลายรายประเภทคอทองแดง ไม่ชอบกับแกล้ม มาโรงพยาบาลด้วยอาการหมดสติจากน้ำตาลในเลือดต่ำ ตายได้เหมือนกัน

สวัสดีครับ

[พิมพ์ครั้งแรก ใบปลิว เมื่อ ๐๖-๐๑-๒๕๔๑]

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2541

บัตร สวัสดิการประชาชนด้านการรักษาพยาบาล



หากท่านได้ติดตามข่าวในระยะนี้จะพบว่าได้มีการพูดถึงบัตร ที่เกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอยู่หลายประเภทเช่น บัตรสุขภาพ บัตรสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล หรือบัตร สปร. และบัตรประกันสังคม หลายท่านอาจสงสัยและสับสน ว่าบัตรอะไรใช้อย่างไร ผู้เขียนใคร่เรียนทำความเข้าใจดังนี้ครับ

บัตรสุขภาพ เป็นบัตรที่ท่านสามารถซื้อเพื่อประกันการเจ็บป่วยของท่าน โดยซื้อได้ที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัย ราคา 500 บาท ใช้รักษาพยาบาลได้ 5 ท่าน เป็นเวลา 1 ปี หมดอายุต้องซื้อใหม่(หมดอายุบัตรนะครับ ไม่ใช่หมดอายุท่าน)

บัตรประกันสังคม ก็เป็นบัตรใช้ในการรักษาพยาบาลสำหรับลูกจ้างโรงงาน หรือลูกจ้างสถานที่ต่างๆ (อยากรู้รายละเอียดต้องรอดู โก๊ะตี๋ ผีหน้ารักอธิบายหน้าจอทีวี)

ส่วน บัตรประกันสุขภาพประชาชนด้านการรักษาพยาบาล หรือ บัตร สปร. ก็คือบัตรที่กระทรวงสาธารณสุขออกให้เฉพาะผู้ที่ยากจน และผู้ที่สังคมควรช่วยเหลือเกื้อกูล เมื่อสมัยก่อนเรียกว่าบัตรสงเคราะห์ประชาชนผู้มีรายได้น้อย หรือบัตร สปน. หรือบัตรสงเคราะห์ ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบัตร สปร. ขณะนี้ท่านที่มีบัตรนี้อยู่ได้หมดอายุไปแล้วเมื่อ 30 กันยายน 2540 แต่เราต่ออายุให้ใช้ได้ถึง 31 มกราคม 2541

ในปีใหม่นี้จะดำเนินการออกบัตรสปร.ให้ใหม่ มีหลักเกณฑ์อยู่ 8 ประเภท ดังนี้

1. เด็กอายุ 0-12 ปี ได้แก่เด็กอายุ 0-12 ปีทุกคน ยกเว้นเด็กที่พ่อแม่เบิกได้

2. ผู้มีรายได้น้อย ได้แก่ผู้ที่อายุระหว่าง 13-60 ปี

คนโสด มีรายได้ไม่เกินเดือนละ 2000 บาท

ครอบครัว มีรายได้รวมกัน ไม่เกินเดือนละ 2800 บาท

3. นักเรียน เฉพาะนักเรียนที่อายุเกิน 12 ปีขึ้นไป และเรียนยังไม่จบชั้น ม.3

4. ผู้พิการ เฉพาะผู้พิการตามเกณฑ์พรบ. และอายุอยู่ระหว่าง 13-60 ปี

5. ทหารผ่านศึก เฉพาะตามเกณฑ์ทหารผ่านศึก และ อายุระหว่าง 13-60 ปี

6. ภิกษุ/ผู้นำศาสนา เฉพาะอายุระหว่าง 13-60 ปี

7. ผู้สูงอายุ ได้แก่ผู้ที่อายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ยกเว้นผู้ที่เบิกได้

8. บัตรชั่วคราว สำหรับผู้มีสิทธิตามข้อ 1-7 แต่ชื่อไม่ได้อยู่ในทะเบียนบ้าน
ท่านที่มีสิทธิในบัตรในประเภทใด โปรดอย่าชะล่าใจ มัวแต่รอเจ้าหน้าที่มาดำเนินการให้ อาจผิดพลาดได้ จะให้ดีท่านต้องติดตามเรื่องด้วยนะครับ ที่สถานีอนามัย หรือโรงพยาบาล

แต่ถ้าจะให้ดีก็ อย่าป่วย ถ้าไม่อยากป่วยผู้เขียนขอแนะนำสุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ รายละเอียดขออุบไว้ก่อน ท่านที่สนใจโปรดติดตาม ใบปลิว ฉบับต่อไป




Post ครั้งแรกเมื่อ 2540

วันพฤหัสบดีที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2541

การบริหารสไตล์ จิกซอว์(JIGSAW)


JIGSAW PUZZLE หมายถึงรูปภาพตัดออกเป็นชิ้นเล็กๆสำหรับต่อเล่น เป็นของเล่นชนิดหนึ่งที่นิยมเล่นเป็นงานอดิเรก กำลังเป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย มูลค่าการนำเข้าปีละเป็นพันล้าน เหตุที่มีผู้นิยมเล่นจิกซอว์มากขึ้น เป็นเพราะจิกซอว์เป็นของเล่นที่ท้าทายความสามารถ ผู้เล่นจะต้องใช้ความพยายาม สมาธิ ความอดทน ความช่างสังเกต ใจเย็นพอที่จะรอพบความสำเร็จ เพราะต้องประกอบชิ้น ส่วนเล็กๆจำนวนนับพันชิ้น (อาจมากหรือน้อยกว่าตามต้องการ) เข้าด้วยกัน ต้องประสานกันได้แนบสนิท ผิดไม่ได้แม้ตัวเดียว

จิกซอว์มีหลายประเภท หลายรูปแบบ หลายราคา ที่สามารถจำแนกชนิดได้ชัดเจนก็คือการกำหนดจำนวนชิ้น ว่ามีจำนวนเท่าไร ที่นิยมเล่นได้แก่ 500 ชิน้ 1000 ชิ้น 1500 ชิ้น 2000 ชิ้น ฯลฯ ราคาที่แตกต่างก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพ และจำนวนชิ้นของจิกซอว์

จิกซอว์เกี่ยวอะไรกับการบริหาร มีผู้บริหารจำนวนไม่น้อยที่เปรียบเทียบงานที่ตนกำลังทำอยู่ว่าเสมือนกำลังต่อจิกซอว์ แต่นั่นเป็นเพียงแค่การมองภาพปะติดปะต่อของงานเท่านัน้ หากเราพิจารณาให้ลึกลงไป จิกซอว์มีอะไรที่น่าสนใจมากกว่านั้น เราลองมาเปรียบเทียบ การบริหารงานกับการต่อจิกซอว์ดูกัน

ภาพต้นแบบ การต่อจิกซอว์จะต้องมีภาพต้นแบบที่ชัดเจน เพื่อที่จะได้ทราบว่าจะต่อจิกซอว์แต่ละชิ้นเข้าด้วยกันได้อย่างไร ภาพต้นแบบบางครั้งอาจสร้างไว้ในใจโดยไม่ต้องเป็นภาพที่เห็นด้วยตา เช่นการต่อจิกซอว์รูปแผนที่ประเทศไทยซึ่งผู้ต่อสามารถสร้างภาพในใจได้อยู่แล้ว

การบริหารงานก็เช่นกัน เราต้องทราบภาพต้นแบบซึ่งก็คื วัตถุประสงค์ ของงานที่จะทำนั่นเอง วัตถุประสงค์หรือเป้าหมาย จะต้องชัดเจน พอที่จะวางแผนการดำเนินงานให้ไปถึงได้อย่างถูกต้อง เป้าหมายที่เบลอๆ(blur) ก็จะวางแผนได้เบลอๆเช่นกัน หรือ อาจวางแผนไม่ได้เลย เหมือนจิกซอว์ที่ไม่มีภาพต้นแบบ ต่อให้ผู้ต่อมีความเก่งกาจเพียงใดก็ไม่สามารถทราบได้ว่าจะต่อไปเป็นภาพอะไรดี

จัดกรอบให้ได้ ขั้นตอนแรกของการต่อจิกซอว์ให้สำเร็จง่ายคือ การจัดกรอบของภาพให้ได้ มีเทคนิคคือเลือกจิกซอว์ที่เป็นขอบ( ด้านใดด้านหนึ่งตรงเรียบ ) แยกมารวมกันไว้ แล้วต่อให้ได้กรอบนอกของภาพ บางท่านเห็นว่าไม่จำเป็น แต่ถ้าท่านได้ดำเนินการเช่นนี้จะพบว่าทำให้การต่อจิกซอว์สำเร็จง่ายขึ้น

เมื่อเปรียบกับการบริหารงาน การจัดกรอบก็คือ การจัดทำกรอบของแผนงาน หรือคือการกำหนดเป้าหมายของงานนั่นเอง ถ้าการวางแผนทำงานไม่มีขอบเขตชัดเจน ไม่มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะทำงานนั้นๆกับใครก็อาจทำงานออกนอกกรอบได้(สะเปะสะปะ)

จัดหมวดหมู่ หลายท่านใจร้อน จะรีบต่อให้ภาพเสร็จ หยิบได้จิกซอว์ชิ้นใดก็เอามาต่อๆกันไปเรื่อยๆ แต่ก็มักจะสับสนในที่สุด เมื่อเจอชิ้น ส่วนที่คล้ายๆกัน ข้อแนะนำก็คือจัดการแยกหมวดหมู่ สี กลุ่มเดียวกันไว้ด้วยกันก่อนจะเริ่มดำเนินการต่อ จะทำให้การต่อง่ายขึ้น

การบริหารงานก็เช่นกัน ไม่ว่าจะจัดทำงานโครงการใด ควรแยกหรือจัดหมวดหมู่ของกระบวนการทำงานไว้ให้ชัดเจน การไม่ลำดับให้ชัดเจนว่างานใดจะทำเมื่อใด ก็อาจจะมั่วและงงเมื่อทำงานไปได้สักระยะ

ปะติดปะต่อ หลังจากนั้น ก็เริ่มจัดการต่อชิ้น ส่วนจิกซอว์แต่ละชิ้นเข้าด้วยกัน ค่อยๆทำ ด้วยความอดทน มีวัตถุประสงค์เป็นที่ตั้ง ค่อยๆต่อจากภาพกลุ่มเดียวกัน ค่อยๆขยาย จนกระทั่งเสร็จ อย่าท้อถอย เบื่อนักพักก่อน

การบริหารงานก็เช่นกัน ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆทำงานทีละชิ้น ทีละส่วนอย่างตั้ง ใจ หมั่นมุมานะ แล้วก็จะเสร็จทั้งโครงการได้ในที่สุด

ต่อส่วนไหนก่อน อันที่จริงจะเริ่มต่อบริเวณไหนของภาพก่อนก็ได้ เพราะท้ายที่สุดก็จะต้องต่อทุกชิ้น เข้าด้วยกัน แต่เพื่อความรวดเร็ว มองเห็นโครงร่างได้ชัดเจน ช่วยให้มีกำลังใจ ควรเลือกบริเวณที่ง่ายๆ สะดุดตา มีลวดลายชัดเจนก่อน

การบริหารงานก็ควรเลือก งานชิ้นเด่นๆก่อน เพราะเมื่อสำเร็จสักชิ้น ก็จะมีกำลังใจ เห็นแนวทางของโครงงานชัดขึ้น ว่ามีความหวังจะสำเร็จแน่นอน ตรงไหนที่ทำได้ก็ทำตรงนั้น เร่งทำให้สามารถขยายงานให้ได้มากขึ้น จนไปชนกับงานอื่นที่ดำเนินการไว้แล้ว

ต่อผิดต่อใหม่ได้ จิกซอว์อาจมีชิ้นส่วนที่คล้ายคลึงกันทั้งรูปร่างและสี อาจมีการต่อผิดได้ แต่มักจะพบในที่สุดว่าไม่สามารถต่อให้ต่อเนื่องไปได้ เพียงแค่หยิบชิ้นนั้นออก เอาชิ้นใหม่ใส่ก็สามารถเดินหน้าต่อไปได้

ทำงานหรือบริหารงานก็เช่นกัน เมื่อรู้ว่าผิด ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผิด คิดผิด ข้อมูลผิด หรือใช้คนผิด ก็เอาส่วนผิดออก และเริ่มใหม่ อย่าดันทุรัง จิกซอว์ต่อผิดต่อใหม่ได้ ไม่เสียหาย งานทำผิดก็ทำใหม่ได้เช่นกัน อาจจะเสียหายบ้างแต่ก็ดีกว่าไม่แก้ไข

หลายคนช่วยต่อเสร็จเร็วขึ้น เป็นธรรมดาของการช่วยกันทำงาน จิกซอว์ไม่ใช่ต้มไข่ที่ต้มมากใบใช้เวลาเท่าเดิม แต่ต่อจิกซอว์ยิ่งช่วยกันต่อคนละหน่อยก็เสร็จเร็วขึ้น เพราะแต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน อาจมองบางมุมได้ชัดเจนกว่าคนอื่น แต่มีข้อแม้ว่าทุกคนที่ช่วยต่อต้องเข้าใจภาพเหมือนๆกัน มองภาพไปพร้อมๆกัน

ทำงานยิ่งสำคัญ ถ้าทุกคน เห็นวัตถุประสงค์ เห็นเป้าหมายร่วมกันอย่างชัดเจน การช่วยกันทำงานแต่ละส่วน มองจุดผิดของผู้อื่นที่จะช่วยเตือนทีมให้แก้ไขให้ถูกต้อง ก็จะเร่งให้งานเสร็จเร็วขึ้น แต่ถ้าต่างคนต่างทำไม่ประสานงานกัน หรือเข้าใจวัตถุประสงค์ต่างกัน ก็พังเหมือนเดิม

ชิ้นส่วนหาย หลายครั้ง ที่เล่นเพลินๆ อาจมีชิ้นส่วนบางชิ้น หายไป มักจะเป็นโดยบังเอิญ ถ้าปล่อยให้ขาดว่างไว้ ก็อาจจะดูเป็นทำไม่สำเร็จ อาจใช้ฝากล่องตัดให้คล้ายชิ้นส่วนที่หายไป ต่อไว้แทนก็พอดูได้

การทำงานก็มีบ่อยครั้ง ที่บางส่วนของงานหายไป หรือไม่ครบ(แต่มักจะเกิดจากการตั้งใจไม่ทำงานมากกว่าบังเอิญ) ก็ต้องพยายามหาทางให้ได้ใกล้เคียง ไม่จำเป็นต้อง complete ที่สุด ให้มองผาดๆว่างานสำเร็จก็ดีกว่าปล่อยว่างๆไว้ แต่ไม่ใช่มองผาดๆทั้งโครงการ มีงานจริงอยู่ไม่เท่าไร ถ้าอย่างนัน้ ก็รื้อทำใหม่เถอะ เป็นจิกซอว์ก็ซื้อกล่องใหม่ได้แล้ว

ต่อตรงไหนได้ต่อก่อน อย่าลังเลเมื่อหยิบชิ้นส่วนใดขึ้นมาแล้วสามารถวางได้ตรงจุด แม้จะยังไม่ต่อเนื่องมาถึง เพราะชิ้นส่วนที่ต่อไปลดลง 1 ชิ้น ก็ทำให้ส่วนที่เหลือง่ายขึ้น 1 ชิ้น เมื่อจะต้องค้นหาในกองที่เหลือ

งานก็เช่นกัน เมื่อพบว่างานใดทำได้ก็อย่าลังเล รีบทำให้เสร็จ เสร็จ 1 งานก็ลดลง 1 งาน นอกจากงานจะเหลือน้อยลงแล้ว ยังทำให้มองภาพงานรวมชัดเจนขึ้นด้วย

ชิ้นสุดท้าย ต่อจิกซอว์ต้องมีชิ้นสุดท้าย และชิ้นสุดท้ายจะเป็นชิ้นที่ทำให้ภาพสมบูรณ์ เป็นชิ้นที่มีความสุขที่สุด เมื่อประกอบชิ้นสุดท้ายลงไปจะรู้สึกถึงความสำเร็จ และผู้ที่ได้รับเกียรติให้เป็นคนลงชิ้นสุดท้ายจะได้ความภาคภูมิใจสูง เช่นกัน เมื่องานดำเนินมาครบถ้วนสำเร็จลง ถ้างานชิ้นสุดท้ายผู้บังคับบัญชาได้มีส่วนร่วมในการเป็นผู้ปิดงานย่อมก่อให้เกิดความภูมิใจ(อย่าลืมบริหารเจ้านายสักนิด)

ทากาว-ใส่กรอบ เมื่อต่อจิกซอว์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่ทำการประสานชิ้นส่วนเล็กๆเข้าไว้ด้วยกันก็อาจทำให้มีโอกาสที่จะหลุดหายไปได้ ภาพที่สมบูรณ์ก็อาจเว้าแหว่ง หรือล่วงหลุดทั้งหมดได้ ต้องเสียเวลาเริ่มต่อใหม่ ควรประสานชิ้นส่วนแต่ละชิ้นเข้าด้วยกันด้วยกาว เทคนิคคือใช้กาวที่แถมมากับจิกซอว์หรือใช้กาวน้ำก็ได้ ทาที่ด้านหน้าของรูปภาพ ใช้ฟองน้ำเนื้อละเอียดลูบให้เรียบทั่ว ทิง้ ไว้ให้แห้ง ก็เสร็จเรียบร้อย นำไปใส่กรอบติดโชว์ได้

การทำงานก็เช่นกันต้องหาทางทำให้งานที่ทุ่มแรงกายแรงใจทำมานั่น ยั่งยืนต่อไป(Sustain) นานเท่านาน ไม่ใช่พองานชิ้นสุดท้ายเสร็จ ชิ้นแรกก็เริ่มจางลงหรือหายไป ขณะเดียวกันต้องไม่ลืมการประชาสัมพันธ์งานนั้นๆต่อไป

บอกแล้วว่าไม่ใช่แค่ต่อจิกซอว์

[พิมพ์ครั้งแรก ว.๘ เมื่อ ๒๕๔๑]